วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เกิดเป็นผู้ชาย...ต้องมีใจอดทน


ช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยจะมีเวลาได้ดูหนังเหมือนแต่ก่อน นานทีปีหนถึงจะได้เข้าโรงกับเขาทีนึง ก็เลยได้แต่อาศัยดูดีวีดีเอา เพราะกำหนดเวลาดูเองได้ จะดูตอนตีหนึ่งตีสองก็ไม่มีปัญหา 

แต่ถึงอย่างนั้น นานๆ ทีผมก็ถึงจะมีเวลาดูหนังสักแผ่น เลือกแล้วเลือกอีก เพราะกลัวเสียเวลา หลังๆ เริ่มเบื่อ เพราะหาหนังดีๆ ไม่ค่อยจะได้ มีแต่หนังประเภท "งั้นๆ" ดูแล้วเสียอารมณ์และเวลาไปเปล่าๆ ก็พอดีกับที่มีเพื่อนแนะนำให้ดูซีรี่ส์เรื่องหนึ่งที่ชื่อ "Prison Break”

ซี่รี่ส์นี้เก่ามากแล้วนะครับ น่าจะ 4-5 ปีได้ แต่ในเมื่อผมยังไม่ได้ดู มันก็ย่อมเป็นของใหม่

ผมเคยได้รับคำเตือนจากหลายคนมานานแล้วว่า ถ้าไม่ใช่คนว่างงาน อย่าได้ริดูซีรี่ส์เป็นอันขาด เพราะมันจะติดหนึบจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

แต่อย่างว่าครับ คำเตือนมีเอาไว้ให้ไม่เชื่อฟัง หลังจากที่ห้ามใจตัวเองได้หลายปี ในที่สุดผมก็ติดซีรี่ส์เข้าจนได้ ติดชนิดที่ว่าถ้าเมื่อก่อนคนเราติดฝิ่นกันงอมแงมเสียผู้เสียคน เดี๋ยวนี้ผมก็ติดซีรี่ส์เรื่องนี้ด้วยอาการแบบนั้น

เผื่อใครยังไม่เคยดู ผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า Prison Break นั้นเป็นเรื่องของวิศวกรหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งที่จงใจทำผิดเพื่อจะได้ติดคุก สาเหตุก็เพราะเขาจะเข้าไปช่วยพี่ชายที่ต้องโทษประหารในความผิดที่ไม่ได้ก่อไว้ เป้าหมายของทั้งคู่ (และตัวละครสมทบอื่นๆ) ก็คือการแหกคุกออกมาสู่อิสรภาพภายนอก

ตัวละครสมทบที่ว่ามีทั้ง ทหารผ่านศึก มาเฟียอิตาเลียน ฆาตรกรจิตหลุด หนุ่มเปอร์โตริโกนักปล้นร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ยังไม่นับรวมตัวละครในฝั่งตรงข้ามอย่าง ผู้คุมจอมโหด เอฟบีไอผู้มีความลับบางอย่าง เจ้าหน้าที่นักสืบใจอำมหิต ฯลฯ

ผมจะไม่เล่าหรอกนะครับว่าเนื้อเรื่องมันสนุกและน่าติดตามแค่ไหน นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปหามาดูกันเอง แต่ที่สะกิดใจผมหลังจากที่ดูไปได้หลายสิบตอนก็คือ น่าแปลกตรงที่ว่า จุดมุ่งหมายของตัวละครทุกตัว (ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด) ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนเลว ตำรวจ หรือคนคุก ถ้าถอดองค์ประกอบยิบย่อยออกไปแล้ว ก็ล้วนแต่มีจุดหายเดียวกัน
นั่นคือ ต้องการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างสงบ ต้องการให้ครอบครัวสบาย

จุดมุ่งหมายแบบนี้ดูคล้ายจะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของผู้ชายทุกคน (ในวงเล็บนิดนึงว่า ผมหมายถึงผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ขี้เมาหยำเป) ว่าจะต้องนำพาครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ผู้หญิงและเด็กๆ ของเราจะต้องสบาย อะไรประมาณนั้น

ไม่ว่าจะยุคมนุษย์ถ้ำมาจนถึงยุคมนุษย์คอนโด ผู้ชายก็ยังคงมีความรู้สึกว่าตนเองต้องเป็นผู้นำของครอบครัว และต้องรับผิดชอบอนาคตของทุกคนในบ้าน แม้ว่าวันนี้ผู้หญิงจะออกไปทำงานแล้วก็ตาม

ก่อนหน้าที่จะดูซีรี่ส์เรื่องนี้ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมคิดว่าตรงกันกับประเด็นนี้ เพื่อนผมคนนึง แต่งงานแต่งการแล้ว ทำงานบริษัทหน้าที่การงานดี มีลูกชายหนึ่งคนวัยกำลังซน ภรรยาเปิดร้านค้าขายอยู่กับบ้าน ดูแล้วก็เป็นครอบครัวที่น่าจะมีความสุขดี

วันหนึ่ง แฟนของเพื่อนผมคนนี้ก็โทรมาปรึกษาผมว่า สามีของเธอ (ซึ่งก็คือเพื่อนผม) กำลังจะลาออกจากบริษัทเพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะเห็นช่องทางว่าจะรวยกว่า ในขณะที่ถ้าทำงานบริษัทต่อไป ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้ากว่านี้ อย่างไรบริษัทก็ไม่ใช่ของเรา

คำถามที่เธอปรึกษาผมก็คือ ดูท่าแล้วธุรกิจนี้มันจะไปรอดหรือเปล่า (ผมพอจะรู้จักมักคุ้นกับธุรกิจนี้อยู่บ้าง) เพราะสามีเธอเคยล้มไปแล้วกับธุรกิจส่วนตัวธุรกิจแรกที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน หมดเงินไปหลายแสน และครั้งนี้จะต้องใช้เงินเริ่มต้นเป็นล้าน ที่สำคัญเป็นเงินที่สามีเธอยืมมาจากพ่อของเธอ

เธอหล่นบางประโยคระหว่างที่โทรมาว่า เธอเหน่ือยมาก จากที่เมื่อก่อนมีชีวิตแบบคุณหนู งานอะไรก็แทบไม่ต้องหยิบจับ วันนี้ต้องมาเป็นแม่ค้าขายของ นอนดึก ตื่นเช้า
แล้วเธอก็จบท้ายประโยคว่า "รู้งี้ไม่แต่งงานดีกว่า"

ที่แย่ก็คือทั้งหมดที่เธอระบายกับผมเรื่องความเหนื่อยยากนั้น เธอก็พูดให้สามีเธอฟังเช่นกัน รวมถึงประโยค "รู้งี้..." ด้วย
ผมบอกเธอไปว่าเข้าใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหญิงก็เป็นห่วง ฝ่ายชายก็ตั้งใจดี อยากให้ครอบครัวสบาย มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้

ผมให้คำแนะนำนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป 
แต่ถ้าพูดได้ทั้งหมด ผมอยากจะบอกเธอ (และผู้หญิงทุกคนบนโลก) ว่าการที่ผู้ชายออกไปสร้างอนาคตให้ดีขึ้นนั้น มันก็ยากเย็นไม่ต่างกับการแหกคุกฟอกซ์ริเวอร์ในซีรี่ส์ Prison Break เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพหรอก เขากำลังพยายามอยู่ อดทนหน่อยนะ
เป็นผู้ชายไม่่ง่ายนะครับ...คุณผู้หญิง

ปฏิบัติการหนังยางล้างใจ



หนังยางเส้นนี้อยู่บนข้อมือข้างซ้ายผมตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะลองใช้วิธีนี้ดูสักตั้ง ผมก็ลุกพรวดจากโต๊ะทำงานเพื่อไปควานหาหนังยางทั้งบ้าน
แต่ไม่ง่าย เพราะมันต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะสวมข้อมือและหนาพอที่จะดึงแล้วไม่ขาด มันจึงไม่ใช่หนังยางแบบที่รัดถุงก๋วยเตี๋ยว (หรือเอาไปร้อยเป็นเส้นใช้เล่นโดดยาง ซึ่งเด็กสมัยนี้จะรู้จักมั้ย?)
ค้นหาทั่วบ้านจนเหงื่อแตกซิก แต่ก็ยังไม่เจอ คิดอยู่่ว่าหรือจะใช้ wristband แต่ก็ดูจะเท่ไป 
ความหวังสุดท้ายอยู่ที่หลังบ้าน ผมจำได้ว่ามีถุงยางอยู่ตรงนั้น (ถุงใส่ยางนะครับ ไม่ใช่ถุงยางแบบที่คุณคิด
สุดท้ายพอผลักประตูออกไป แล้วผมก็เจอจนได้! ไม่ใช่หนึ่งแต่ได้มาถึงสองเส้น
ผมลองสวมดู คับไปนิด ลองดึงให้มันยืดๆ ย้วยๆ หน่อยก็พอไหว ลองดึงแล้วปล่อยให้มันดีดแขน
เปี๊ยะ! เสียงดังและเจ็บๆ คันๆ ใช้ได้เลย
จากนี้หนังยางเส้นนี้จะอยู่กับผมไปอีก 30 วันเป็นอย่างน้อย

แปดโมงเช้าวันเสาร์ ผมตื่นเพราะลูกสาวคนเล็กวัยสองขวบมาปลุก เธอเป็นคนแรกที่ชี้ไปที่ข้อมือผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงแบบพูดไม่ชัดว่า "อะไยอ่ะ?” ผมตอบเธอไป เธอร้องจะเอามาเล่น
สิบเอ็ดโมง ผมกำลังจะออกไปตัดผมที่หน้าหมู่บ้าน ลูกสาวคนโตวัยหกขวบเริ่มเห็นและทำท่าสนุกว่ามันคืออะไร แฟนผมก็เลยเห็น เธอถามผมว่าใส่ไปทำไม
กำลังฝึกอะไรบางอย่าง" ผมตอบ
ฝึกอะไร?” แฟนผมยังไม่เคลียร์
ฝึกจิต" ผมทิ้งคำตอบไว้สั้นๆ ก่อนจะขับรถออกไป

เหมือนมีอาจารย์ฝ่ายปกครองมาคุม ผมรู้สึกอย่างนั้น พอจะคิดอะไรลบๆ เมื่อไหร่ ป้าบ! โดนฟาดที่ก้นทันที อารมณ์แบบนั้นเลย
เพิ่งได้สังเกตจิตตัวเองจริงๆ ก็คราวนี้ 
ผมว่าทุกคนรู้นะครับว่าคนที่เราคุยด้วยมากที่สุดในแต่ละวันก็คือตัวเราเอง แต่จะมีสักกี่คนที่สังเกตว่าแล้วเราคุยอะไรกับตัวเราเองบ้าง
เชื่อมั้ยครับว่าคนส่วนใหญ่ล้วนคุยเรื่องแย่ๆ กับตัวเอง พร่ำบ่นก่นด่าอยู่ในใจ แต่เราไม่เคยรู้ตัวเลย

ตอนบ่าย ผมกับครอบครัวแวะกินข้าวที่ห้างก่อนจะขับรถพาลูกไปเที่ยวฟาร์มจระเข้สามพราน 
แฟนผมถามอีกครั้งตอนเลี้ยวเข้าห้างว่าตกลงใส่ไอ้หนังยางเส้นนี้ไว้ทำไม
จริงๆ ผมกะจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นภารกิจลับ แต่ดูท่าทางคงจะต้องบอกไป ผมตอบไปสั้นๆ ว่าฝึกจิตให้คิดแต่เรื่องดีๆ ถ้าคิดเรื่องลบๆ เมื่อไหร่ ผมจะดีดหนังยางใส่ข้อมือตัวเองให้เจ็บ ให้จิตมันผูกความเจ็บกับเรื่องลบๆ มันจะได้ไม่คิดลบแบบนั้นอีก จากนั้นก็แทนที่ภาพความคิดลบๆ นั้นด้วยภาพความคิดบวก
แฟนผมหัวเราะ บอกว่าไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย หยิกตัวเองก็ได้ ผมบอกไม่ได้หรอก มันต้องมีอะไรที่จับต้องได้
ก่อนจะหาที่จอดรถได้ แฟนผมถามอีกทีว่า "นี่เป็นคนคิดลบขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องทำแบบนี้?”
ผมได้แต่คิดในใจว่าไม่รู้ซะแล้วว่าคนส่วนใหญ่ล้วนคุยเรื่องแย่ๆ กับตัวเองทั้งนั้น เธอเองก็คิดลบ
ว่าแล้วผมก็ดึงหนังยางสุดแรง เปี๊ยะ! นี่แน่ะ! คิดลบทำไม!

ตกกลางคืน ผมมานั่งสรุปตัวเองดู พบว่าผมโมโห หงุดหงิด คิดลบ จิตตก กับเรื่องง่ายๆ ซ้ำๆ แต่พอมีหนังยางมากำกับควบคุมอารมณ์ ผมว่าวันนี้ผมดีขึ้นเยอะ หลายครั้งพอคิดได้ว่ากำลังจะหงุดหงิด จิตมันก็คลายลงทันที เพราะเดี๋ยวโดนดีดหนังยาง หรือถ้าเผลอคิดลบออกมาแล้ว มันก็จะไม่กล้าบานปลายคิดไปต่อ
โอว! มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมนะครับผมว่า
ที่รู้สึกอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนจักรวาลกำลังรวมหัวกันเอาใจช่วยผมในทันทีที่ผมตัดสินใจจะใช้วิธีหนังยาง เพราะดูเหมือนอะไรที่มันควรจะเป็นเรื่อง แต่วันนี้มันกลับผ่านฉลุย อาทิ ขาไปเที่ยวสามพราน รถติดมาก ทั้งๆ ที่ควรจะพร่ำบ่นก่นด่า แต่เรากลับสนุกกับการมองสองข้างทางแถวๆ ตรงบางแค เพราะไม่เคยมา พอไปถึงฟาร์มปรากฏว่าฟาร์มใกล้จะปิดแล้ว เรียกว่าใช้เวลาอยูที่ฟาร์มน้อยกว่าเวลาที่ขับรถมาอีก แต่ก็ไม่ยักกะมีใครหงุดหงิดสักคน ขากลับเหมือนผมจะขับหลงทาง แต่สุดท้ายมันก็พาผมไปพบร้านอาหารไทยอร่อยระดับขั้นเทพที่วิลล่าอารีย์
เฮ้ย! นี่มันเป็นไปได้ไงเนี่ย!
นี่ผมชักจะตื่นเต้นกับ 29 วันที่เหลือแล้วนะครับเนี่ย