กบ
ขจรเดช คือคนเบื้องหลังตัวจริง
ไม่ว่าจะในแง่ที่ว่าเขาคือคนที่แต่งเนื้อเพลงดังๆ
แทบจะทุกเพลงของวงดนตรีที่ดังที่สุดในประเทศอย่าง
บอดี้สแลม และ บิ๊กแอส
หรือในแง่ที่ว่าเขาคือคนที่อยู่ข้างหลังกลองชุด
อยู่ด้านหลังสุดของวงบิ๊กแอสในฐานะมือกลอง
วันนี้ผมบุกไปพบเขาถึงที่บ้านย่านเกษตร-นวมินทร์
ช่วยอัพเดทงานของคุณหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
ตอนนี้บิ๊กแอสก็มีงานใหม่ออกมา
2
ซิงเกิ้ลแล้ว
เปลี่ยนนักร้องใหม่จาก แด๊ก
เป็น เจ๋ง ชุดนี้มันเป็นอีพี
5
เพลง
เพราะว่ากับนักร้องคนใหม่
เรายังต้องเรียนรู้กันมากกว่านี้
เขาถึงจะได้มีเรื่องเป็นเพลงได้
ตอนนี้มันก็เป็นการทดลองระหว่างเขาด้วยกับเราด้วย
เป็นการแนะนำตัวกับแฟนเพลงด้วย
ไปเจอกับนักร้องใหม่ได้อย่างไร
ตอนแรกก่อนจะเป็นเจ๋งก็หากันอยู่สองสามคนนะครับ
แต่ก็ยังไม่โดน จนท้อแล้ว
แต่มีอยู่วันหนึ่ง
บิ๊กแอสไปเล่นคอนเสิร์ตที่โคราช
เราก็ลงไปข้างล่างโรงแรมที่เราพักอยู่
มันเป็นผับชื่อบานาน่า
เราไม่ได้ลงไปเที่ยวผับทั้งวงแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
แล้วเจ๋งก็ขึ้นไปร้องเพลง
ผมก็รู้สึกว่าคนนี้มันใช่
ก็เลยนัดคุยกันหน้าร้าน
แล้วเจ๋งก็เลยกลายมาเป็นนักร้องนำของบิ๊กแอสในทุกวันนี้
เล่นดนตรีมานานขนาดนี้
คุณเคยมีอาการล้าบ้างไหม
มีเมื่อประมาณ
2-3
ปีที่แล้วครับ
ผมเริ่มรู้สึกว่าเรารับจ้างเล่นดนตรี
มีรถตู้มาจอดหน้าบ้านแล้วก็รู้สึกว่าต้องไปอีกแล้วหรือนี่
แล้วเพื่อนๆ ในวงก็คุยกันน้อยลง
เพราะว่าอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
ขึ้นรถตู้ก็เบื่อกันแล้ว
นิดนึงก็จะทะเลาะกัน
โชคดีที่มันเป็นเพื่อนกัน
มันก็เลยพอผ่านกันมาได้สมควร
สิบกว่าปีที่ผ่านมาที่คุณได้อยู่ในวงการบันเทิงเป็นวงที่มีชื่อเสียง
คุณได้และเสียอะไรไปบ้าง
ผมว่าผมไม่เสียอะไรเลย
มีแต่ได้ ผมเคยไม่มีเงินสักบาท
ตอนนั้นลาออกจากงานประจำมาแล้วด้วย
ผมกับแฟนทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่ยี่สิบบาท
ต้องต้มมาม่ากิน
มาถึงวันนี้ผมเลยไม่รู้จะตอบแทนวงการนี้ยังไง
เพราะที่ผมได้มาไม่ใช่แค่เงินทอง
แต่มันได้ชีวิตมา
ไม่ได้เป็นชีวิตของผมคนเดียว
ผมได้ให้ชีวิตกับพ่อแม่ญาติพี่น้องด้วย
แต่ก่อนพ่อผมติดเหล้าหนัก
คนจะพูดว่านั่นไงตาขี้เมา
แต่พอผมมาเป็นบิ๊กแอส
คนก็จะมองว่านี่ไง พ่อศิลปิน
คนก็จะให้เกียรติมากขึ้น
อยากให้คุณเล่าถึงช่วงชีวิตตอนแรกที่คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ
พ่อผมทำงานไปรษณีย์ที่อุดรธานี
ผมก็ทำงานไปรษณีย์
เพราะพ่ออยากให้ผมทำ
แต่ตอนนั้นก็เป็นช่วงข้อต่อที่ผมต้องทำบิ๊กแอสอัลบั้มแรก
ผมตัดสินใจออกจากงาน
พอออกปุ๊บอัลบั้มแรกเจ๊งเลยครับ
(หัวเราะ)
สุดท้ายพอพ่อเขารู้ว่าผมลาออก
เขาก็บอกกับผมว่า
ไม่ต้องกลับมาบ้านอีกแล้วนะ
พ่อไม่คุยกับผมเลย
จนกระทั่งผมได้มาเขียนเนื้อเพลงให้ลาบานูนชุดแรก
ปรากฏว่ามันขายเป็นล้านตลับ
ผมได้เงินมา 140,000
บาท
ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน
ผมนั่งรถสองแถวจากถนนใหญ่เข้าไปในอำเภอประมาณสิบกว่ากิโล
แวะตลาด ซื้อพวงมาลัย พอถึงบ้าน
ผมก็ไหว้แม่ก่อน แล้วผมก็ร้องไห้
บอกแม่ว่าผมเอาเงินมาให้
ตอนนั้นพ่ออยู่ในครัว
แม่ก็เดินเข้าไปหาพ่อ
คุยอะไรกันไม่รู้ แล้วพ่อก็เดินมาหาผม
อ้าว!
ว่าไงล่ะลูก
สบายดีไหม (หัวเราะ)
นึกว่าจะโดนแล้ว
ทุกวันนี้ความเป็นเด็กภูธร
ความเป็นเด็กบ้านนอก
ยังมีอยู่ในตัวคุณบ้างหรือเปล่า
ผมมีความเป็นบ้านนอกสูงมาก
จำได้ว่าวันที่เขียนเพลง
"ทางกลับบ้าน"
ให้บอดี้สแลม
ผมคิดว่าจะพาบอดี้สแลมไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
ไปเป็นฮีโร่ของเด็กต่างจังหวัด
ผมเชื่อว่าคำว่า
"วันที่ชีวิตหลงทางมาไกล"
มันไม่ใช่บ้านนอก
คนเมืองก็เข้าใจได้
ผมภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของผมก็ตรงนี้ล่ะครับ
ทุกวันนี้เวลาที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี
คุณทำอะไรบ้าง
ไม่มีเลยครับ
มันเหมือนเราโดนล้อมไว้ด้วยดนตรี
พยายามจะเป็นอย่างอื่นนะครับ
เคยพยายามไปแบบอยู่ในแวดวงอื่นบ้าง
แต่สุดท้ายมันก็จะโดนดึงกลับมา
เต็มที่ก็มีเรื่องฟุตบอลครับ
กีฬา หนัง อะไรทำนองนี้
คุณไปฝึกตีกลองมาจากไหน
ไม่ได้ฝึกเลยครับ
ไม่เคยเรียนกับใครเลย
ตีโน้ตไม่เป็นครับ ใช้หู
ใช้จำ ก็จะมีโน้ตที่เราสร้าง
เข้าใจเอง เวลาใครเรียกผมอัด
ผมก็จะมีวาดๆ อะไรแบบของผมเอง
ใช้จำเอา
ชีวิตหลังแต่งงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
ผมเคยกลัวนะครับ
เคยกลัวว่าสิ่งที่เราเคยมี
อิสระ ความเป็นส่วนตัวต่างๆ
จะหายไป เพราะผมเป็นคนเห็นแก่ตัว
เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง
อยากไปไหนคนเดียวก็ไป
แต่ก็น่าดีใจตรงที่พอแต่งแล้ว
ความกลัวนั้นมันหายไปหมดเลย
ปรากฏว่าแฟนปล่อยกว่าเดิมอีก
จะกลับตีสี่ตีห้าก็ไม่เป็นไร
เห็นตัวเองว่าในอีก
10
ปีข้างหน้า
คุณกำลังทำอะไรอยู่
คำถามนี้ถ้าตอบเมื่อสองปีที่แล้ว
ตอนที่วงยังง่อนแง่นอยู่
ผมคงตอบว่ามองไม่เห็นจริงๆ
แต่ถ้าตอบ ณ ตอนนี้
ผมก็หวังว่าบิ๊กแอสในเวอร์ชั่น
2012
มันจะอยู่ไปอีกเป็นสิบปี
อยากให้นิยามตัวเองว่า
กบ บิ๊กแอส คือใคร
ผมเป็นมือกลองที่ชอบเขียนเนื้อเพลง
แล้วก็เป็นนักเขียนเนื้อเพลงที่ชอบตีกลองครับ