
แต่ถึงอย่างนั้น นานๆ
ทีผมก็ถึงจะมีเวลาดูหนังสักแผ่น
เลือกแล้วเลือกอีก เพราะกลัวเสียเวลา หลังๆ
เริ่มเบื่อ เพราะหาหนังดีๆ
ไม่ค่อยจะได้ มีแต่หนังประเภท
"งั้นๆ"
ดูแล้วเสียอารมณ์และเวลาไปเปล่าๆ
ก็พอดีกับที่มีเพื่อนแนะนำให้ดูซีรี่ส์เรื่องหนึ่งที่ชื่อ
"Prison
Break”
ซี่รี่ส์นี้เก่ามากแล้วนะครับ
น่าจะ 4-5
ปีได้
แต่ในเมื่อผมยังไม่ได้ดู
มันก็ย่อมเป็นของใหม่
ผมเคยได้รับคำเตือนจากหลายคนมานานแล้วว่า
ถ้าไม่ใช่คนว่างงาน
อย่าได้ริดูซีรี่ส์เป็นอันขาด
เพราะมันจะติดหนึบจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
แต่อย่างว่าครับ
คำเตือนมีเอาไว้ให้ไม่เชื่อฟัง
หลังจากที่ห้ามใจตัวเองได้หลายปี
ในที่สุดผมก็ติดซีรี่ส์เข้าจนได้
ติดชนิดที่ว่าถ้าเมื่อก่อนคนเราติดฝิ่นกันงอมแงมเสียผู้เสียคน
เดี๋ยวนี้ผมก็ติดซีรี่ส์เรื่องนี้ด้วยอาการแบบนั้น
เผื่อใครยังไม่เคยดู
ผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า
Prison
Break
นั้นเป็นเรื่องของวิศวกรหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งที่จงใจทำผิดเพื่อจะได้ติดคุก
สาเหตุก็เพราะเขาจะเข้าไปช่วยพี่ชายที่ต้องโทษประหารในความผิดที่ไม่ได้ก่อไว้
เป้าหมายของทั้งคู่
(และตัวละครสมทบอื่นๆ)
ก็คือการแหกคุกออกมาสู่อิสรภาพภายนอก
ตัวละครสมทบที่ว่ามีทั้ง
ทหารผ่านศึก มาเฟียอิตาเลียน
ฆาตรกรจิตหลุด
หนุ่มเปอร์โตริโกนักปล้นร้านสะดวกซื้อ
ฯลฯ ยังไม่นับรวมตัวละครในฝั่งตรงข้ามอย่าง
ผู้คุมจอมโหด เอฟบีไอผู้มีความลับบางอย่าง
เจ้าหน้าที่นักสืบใจอำมหิต
ฯลฯ
ผมจะไม่เล่าหรอกนะครับว่าเนื้อเรื่องมันสนุกและน่าติดตามแค่ไหน
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปหามาดูกันเอง
แต่ที่สะกิดใจผมหลังจากที่ดูไปได้หลายสิบตอนก็คือ
น่าแปลกตรงที่ว่า
จุดมุ่งหมายของตัวละครทุกตัว
(ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด)
ไม่ว่าจะเป็นคนดี
คนเลว ตำรวจ หรือคนคุก
ถ้าถอดองค์ประกอบยิบย่อยออกไปแล้ว
ก็ล้วนแต่มีจุดหายเดียวกัน
นั่นคือ
ต้องการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างสงบ
ต้องการให้ครอบครัวสบาย
จุดมุ่งหมายแบบนี้ดูคล้ายจะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของผู้ชายทุกคน
(ในวงเล็บนิดนึงว่า
ผมหมายถึงผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ
ไม่ใช่ขี้เมาหยำเป)
ว่าจะต้องนำพาครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
ผู้หญิงและเด็กๆ ของเราจะต้องสบาย
อะไรประมาณนั้น
ไม่ว่าจะยุคมนุษย์ถ้ำมาจนถึงยุคมนุษย์คอนโด
ผู้ชายก็ยังคงมีความรู้สึกว่าตนเองต้องเป็นผู้นำของครอบครัว
และต้องรับผิดชอบอนาคตของทุกคนในบ้าน
แม้ว่าวันนี้ผู้หญิงจะออกไปทำงานแล้วก็ตาม
ก่อนหน้าที่จะดูซีรี่ส์เรื่องนี้
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมคิดว่าตรงกันกับประเด็นนี้
เพื่อนผมคนนึง แต่งงานแต่งการแล้ว
ทำงานบริษัทหน้าที่การงานดี
มีลูกชายหนึ่งคนวัยกำลังซน
ภรรยาเปิดร้านค้าขายอยู่กับบ้าน
ดูแล้วก็เป็นครอบครัวที่น่าจะมีความสุขดี
วันหนึ่ง
แฟนของเพื่อนผมคนนี้ก็โทรมาปรึกษาผมว่า
สามีของเธอ (ซึ่งก็คือเพื่อนผม)
กำลังจะลาออกจากบริษัทเพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว
เพราะเห็นช่องทางว่าจะรวยกว่า
ในขณะที่ถ้าทำงานบริษัทต่อไป
ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้ากว่านี้
อย่างไรบริษัทก็ไม่ใช่ของเรา
คำถามที่เธอปรึกษาผมก็คือ
ดูท่าแล้วธุรกิจนี้มันจะไปรอดหรือเปล่า
(ผมพอจะรู้จักมักคุ้นกับธุรกิจนี้อยู่บ้าง)
เพราะสามีเธอเคยล้มไปแล้วกับธุรกิจส่วนตัวธุรกิจแรกที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน
หมดเงินไปหลายแสน
และครั้งนี้จะต้องใช้เงินเริ่มต้นเป็นล้าน
ที่สำคัญเป็นเงินที่สามีเธอยืมมาจากพ่อของเธอ
เธอหล่นบางประโยคระหว่างที่โทรมาว่า
เธอเหน่ือยมาก
จากที่เมื่อก่อนมีชีวิตแบบคุณหนู
งานอะไรก็แทบไม่ต้องหยิบจับ
วันนี้ต้องมาเป็นแม่ค้าขายของ
นอนดึก ตื่นเช้า
แล้วเธอก็จบท้ายประโยคว่า
"รู้งี้ไม่แต่งงานดีกว่า"
ที่แย่ก็คือทั้งหมดที่เธอระบายกับผมเรื่องความเหนื่อยยากนั้น
เธอก็พูดให้สามีเธอฟังเช่นกัน
รวมถึงประโยค "รู้งี้..."
ด้วย
ผมบอกเธอไปว่าเข้าใจทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหญิงก็เป็นห่วง
ฝ่ายชายก็ตั้งใจดี
อยากให้ครอบครัวสบาย
มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้
ผมให้คำแนะนำนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป
แต่ถ้าพูดได้ทั้งหมด
ผมอยากจะบอกเธอ (และผู้หญิงทุกคนบนโลก)
ว่าการที่ผู้ชายออกไปสร้างอนาคตให้ดีขึ้นนั้น
มันก็ยากเย็นไม่ต่างกับการแหกคุกฟอกซ์ริเวอร์ในซีรี่ส์
Prison
Break เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพหรอก
เขากำลังพยายามอยู่ อดทนหน่อยนะ
เป็นผู้ชายไม่่ง่ายนะครับ...คุณผู้หญิง