วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นั่งคุยกับ กบ BIG ASS


กบ ขจรเดช คือคนเบื้องหลังตัวจริง ไม่ว่าจะในแง่ที่ว่าเขาคือคนที่แต่งเนื้อเพลงดังๆ แทบจะทุกเพลงของวงดนตรีที่ดังที่สุดในประเทศอย่าง บอดี้สแลม และ บิ๊กแอส หรือในแง่ที่ว่าเขาคือคนที่อยู่ข้างหลังกลองชุด อยู่ด้านหลังสุดของวงบิ๊กแอสในฐานะมือกลอง วันนี้ผมบุกไปพบเขาถึงที่บ้านย่านเกษตร-นวมินทร์

ช่วยอัพเดทงานของคุณหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
ตอนนี้บิ๊กแอสก็มีงานใหม่ออกมา 2 ซิงเกิ้ลแล้ว เปลี่ยนนักร้องใหม่จาก แด๊ก เป็น เจ๋ง ชุดนี้มันเป็นอีพี 5 เพลง เพราะว่ากับนักร้องคนใหม่ เรายังต้องเรียนรู้กันมากกว่านี้ เขาถึงจะได้มีเรื่องเป็นเพลงได้ ตอนนี้มันก็เป็นการทดลองระหว่างเขาด้วยกับเราด้วย เป็นการแนะนำตัวกับแฟนเพลงด้วย

ไปเจอกับนักร้องใหม่ได้อย่างไร
ตอนแรกก่อนจะเป็นเจ๋งก็หากันอยู่สองสามคนนะครับ แต่ก็ยังไม่โดน จนท้อแล้ว แต่มีอยู่วันหนึ่ง บิ๊กแอสไปเล่นคอนเสิร์ตที่โคราช เราก็ลงไปข้างล่างโรงแรมที่เราพักอยู่ มันเป็นผับชื่อบานาน่า เราไม่ได้ลงไปเที่ยวผับทั้งวงแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แล้วเจ๋งก็ขึ้นไปร้องเพลง ผมก็รู้สึกว่าคนนี้มันใช่ ก็เลยนัดคุยกันหน้าร้าน แล้วเจ๋งก็เลยกลายมาเป็นนักร้องนำของบิ๊กแอสในทุกวันนี้

เล่นดนตรีมานานขนาดนี้ คุณเคยมีอาการล้าบ้างไหม
มีเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วครับ ผมเริ่มรู้สึกว่าเรารับจ้างเล่นดนตรี มีรถตู้มาจอดหน้าบ้านแล้วก็รู้สึกว่าต้องไปอีกแล้วหรือนี่ แล้วเพื่อนๆ ในวงก็คุยกันน้อยลง เพราะว่าอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ขึ้นรถตู้ก็เบื่อกันแล้ว นิดนึงก็จะทะเลาะกัน โชคดีที่มันเป็นเพื่อนกัน มันก็เลยพอผ่านกันมาได้สมควร

สิบกว่าปีที่ผ่านมาที่คุณได้อยู่ในวงการบันเทิงเป็นวงที่มีชื่อเสียง คุณได้และเสียอะไรไปบ้าง
ผมว่าผมไม่เสียอะไรเลย มีแต่ได้ ผมเคยไม่มีเงินสักบาท ตอนนั้นลาออกจากงานประจำมาแล้วด้วย ผมกับแฟนทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่ยี่สิบบาท ต้องต้มมาม่ากิน มาถึงวันนี้ผมเลยไม่รู้จะตอบแทนวงการนี้ยังไง เพราะที่ผมได้มาไม่ใช่แค่เงินทอง แต่มันได้ชีวิตมา ไม่ได้เป็นชีวิตของผมคนเดียว ผมได้ให้ชีวิตกับพ่อแม่ญาติพี่น้องด้วย แต่ก่อนพ่อผมติดเหล้าหนัก คนจะพูดว่านั่นไงตาขี้เมา แต่พอผมมาเป็นบิ๊กแอส คนก็จะมองว่านี่ไง พ่อศิลปิน คนก็จะให้เกียรติมากขึ้น

อยากให้คุณเล่าถึงช่วงชีวิตตอนแรกที่คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ
พ่อผมทำงานไปรษณีย์ที่อุดรธานี ผมก็ทำงานไปรษณีย์ เพราะพ่ออยากให้ผมทำ แต่ตอนนั้นก็เป็นช่วงข้อต่อที่ผมต้องทำบิ๊กแอสอัลบั้มแรก ผมตัดสินใจออกจากงาน พอออกปุ๊บอัลบั้มแรกเจ๊งเลยครับ (หัวเราะ) สุดท้ายพอพ่อเขารู้ว่าผมลาออก เขาก็บอกกับผมว่า ไม่ต้องกลับมาบ้านอีกแล้วนะ พ่อไม่คุยกับผมเลย จนกระทั่งผมได้มาเขียนเนื้อเพลงให้ลาบานูนชุดแรก ปรากฏว่ามันขายเป็นล้านตลับ ผมได้เงินมา 140,000 บาท ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน ผมนั่งรถสองแถวจากถนนใหญ่เข้าไปในอำเภอประมาณสิบกว่ากิโล แวะตลาด ซื้อพวงมาลัย พอถึงบ้าน ผมก็ไหว้แม่ก่อน แล้วผมก็ร้องไห้ บอกแม่ว่าผมเอาเงินมาให้ ตอนนั้นพ่ออยู่ในครัว แม่ก็เดินเข้าไปหาพ่อ คุยอะไรกันไม่รู้ แล้วพ่อก็เดินมาหาผม อ้าว! ว่าไงล่ะลูก สบายดีไหม (หัวเราะ) นึกว่าจะโดนแล้ว

ทุกวันนี้ความเป็นเด็กภูธร ความเป็นเด็กบ้านนอก ยังมีอยู่ในตัวคุณบ้างหรือเปล่า
ผมมีความเป็นบ้านนอกสูงมาก จำได้ว่าวันที่เขียนเพลง "ทางกลับบ้าน" ให้บอดี้สแลม ผมคิดว่าจะพาบอดี้สแลมไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ไปเป็นฮีโร่ของเด็กต่างจังหวัด ผมเชื่อว่าคำว่า "วันที่ชีวิตหลงทางมาไกล" มันไม่ใช่บ้านนอก คนเมืองก็เข้าใจได้ ผมภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของผมก็ตรงนี้ล่ะครับ

ทุกวันนี้เวลาที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี คุณทำอะไรบ้าง
ไม่มีเลยครับ มันเหมือนเราโดนล้อมไว้ด้วยดนตรี พยายามจะเป็นอย่างอื่นนะครับ เคยพยายามไปแบบอยู่ในแวดวงอื่นบ้าง แต่สุดท้ายมันก็จะโดนดึงกลับมา เต็มที่ก็มีเรื่องฟุตบอลครับ กีฬา หนัง อะไรทำนองนี้

คุณไปฝึกตีกลองมาจากไหน
ไม่ได้ฝึกเลยครับ ไม่เคยเรียนกับใครเลย ตีโน้ตไม่เป็นครับ ใช้หู ใช้จำ ก็จะมีโน้ตที่เราสร้าง เข้าใจเอง เวลาใครเรียกผมอัด ผมก็จะมีวาดๆ อะไรแบบของผมเอง ใช้จำเอา

ชีวิตหลังแต่งงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
ผมเคยกลัวนะครับ เคยกลัวว่าสิ่งที่เราเคยมี อิสระ ความเป็นส่วนตัวต่างๆ จะหายไป เพราะผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง อยากไปไหนคนเดียวก็ไป แต่ก็น่าดีใจตรงที่พอแต่งแล้ว ความกลัวนั้นมันหายไปหมดเลย ปรากฏว่าแฟนปล่อยกว่าเดิมอีก จะกลับตีสี่ตีห้าก็ไม่เป็นไร

เห็นตัวเองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณกำลังทำอะไรอยู่
คำถามนี้ถ้าตอบเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่วงยังง่อนแง่นอยู่ ผมคงตอบว่ามองไม่เห็นจริงๆ แต่ถ้าตอบ ณ ตอนนี้ ผมก็หวังว่าบิ๊กแอสในเวอร์ชั่น 2012 มันจะอยู่ไปอีกเป็นสิบปี

อยากให้นิยามตัวเองว่า กบ บิ๊กแอส คือใคร
ผมเป็นมือกลองที่ชอบเขียนเนื้อเพลง แล้วก็เป็นนักเขียนเนื้อเพลงที่ชอบตีกลองครับ


วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556


        เป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับผมที่ชอบเป็นนักสังเกตสังคมว่า จู่ๆ ก็เหมือนคนในสังคม โดยเฉพาะที่เรียกขานกันว่า “คนรุ่นใหม่” นั้นกำลังนิยมวัฒนธรรม “ชิลล์ ชิลล์” มากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ ที่สำคัญยังดู “เท่” ด้วย
        
        ถ้าจะให้ผมแปลคำว่า “ชิลล์ ชิลล์” ให้ตรงความหมายนั้นก็คงเป็นอะไรที่อธิบายได้ประมาณว่า อาการที่เราสบายๆ ไม่คิดมาก เอาน่า อย่าซีเรียส เรื่อยๆ เปื่อยๆ ทอดหุ่ย ทอดน่อง เฉยๆ สบายมาก อะไรทำนองนี้ ซึ่งผมว่าตรงกับนิสัยของคนไทยแบบสุดๆ เพราะเราคือชนชาติแห่งความไม่คิดมาก เหมือนที่มีคนล้ออยู่บ่อยๆ ว่า คำขวัญประจำชาติไทยก็คือ “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”

        แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าวัฒนธรรมชิลล์ชิลล์แบบนี้จะเป็นก็แต่พี่ไทยหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าวัยรุ่นยุคใหม่จะเป็นกันทั้งโลก เห็นได้ชัดจากวัฒนธรรมดนตรีที่แพร่หลายไปทั่วโลกอย่าง ชิลล์เอาท์ (Chill Out)

คำว่า “ชิลล์” มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่ดนตรีในแนวชิลล์เอาท์ได้รับความนิยมมาก (ดนตรีชิลล์เอาท์ก็คือดนตรีดนตรีบรรเลงหรือร้องน้อยๆ อารมณ์เพลงอยู่ในบรรยากาศล่องลอย เล่นโน้ตซ้ำไปซ้ำมา ให้อารมณ์ผ่อนคลายหรือดิ่งลึกในภวังค์) ถึงขนาดว่าแผงซีดีเถื่อนริมทางเท้าที่ถนนข้าวสารและสีลมมีซี่รี่ส์เพลงชิลล์เอาท์ออกมานับสิบๆ ชุด

ข้ามเวลามาอีกหลายปี พ่อหนุ่มนักโต้คลื่นนักดนตรีอย่าง Jack Johnson ก็มาทำให้วัฒนธรรมสบายๆ แบบไม่คิดมากโด่งดังระดับโลก วัยรุ่นทั้งโลกอยากจะมีวิถีชีวิตแบบเขาที่อยู่ริมทะเล เล่นกระดานโต้คลื่นทั้งวัน ว่างๆ ก็เล่นดนตรี ทำหนัง เขามีเพลงที่ชื่อ Banana Pancakes เนื้อหาพูดถึงชีวิตของหนุ่มที่บอกกับสาวเจ้าว่าเช้าๆ แบบนี้ฝนข้างนอกก็ตก เราอย่าออกไปไหนเลย ไม่ต้องรีบต้องร้อน นอนสบายๆ แบบนี้ดีกว่า โทรศัพท์ดังก็ไม่ต้องรับ

มาถึงปัจจุบัน เรามีอีกหนึ่งหนุ่มที่มาสนับสนุนความชิลล์ เขาคือ Bruno Mars ที่คราวนี้ถึงกับมีเพลงที่ชื่อว่า The Lazy Song เนื้อหานั้นพูดถึงชายหนุ่มที่บอกว่าวันนี้ไม่อยากทำอะไรเลย อยากจะนอนๆๆๆ ทั้งวัน ใครโทรมาก็ให้ฝากข้อความไว้

นั่นคือเรื่องของเพลง แต่เรื่องจริง ผมเองก็เคยได้ยินมามากกว่าหนึ่งครั้งว่า มีหลายๆ บ้านที่มีสมาชิกในครอบครัวประเภทที่ว่าไม่ทำอะไรเลย งานการไม่ทำ ไม่ออกไปไหน วันๆ ดูแต่ทีวี ก็นับเป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับผม

คนรุ่นเก่ากว่าผมอาจจะประหลาดใจกว่าผม ในฐานะที่เขาก็อาจคิดได้ว่าคนรุ่นเขานั้นทั้งหนักและเหนื่อยกว่ากันเยอะกว่าจะสร้างฐานะมาได้ ไหนจะเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกหรือก็สู้ยุคนี้ไม่ได้ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีรถไฟฟ้า ไม่มีอินเตอร์เน็ต 
แล้วทำไมคนรุ่นนี้กลับบ่นว่าขี้เกียจ บอกว่าชิลล์ ชิลล์ ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก อย่าจริงจังกับชีวิตให้มากนัก เดี๋ยวแก่เร็ว

หรือเป็นเพราะเราสบายมากไป หรือเป็นเพราะเราไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจ หรือเป็นเพราะมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมากขึ้น คนเลยอยากจะพักผ่อนมากขึ้น จนเรียกว่าถ้าไปคุยกับคนรุ่นนี้ คำตอบประเภทว่า “ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ” จะเป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยมาก

เอาอะไรมากครับ ขนาดป๋าเบิร์ด ธงไชย ของเรา เมื่อก่อนเคยร้องเพลง “สบายๆ ถูกใจก็คบกันไป” ตอนนี้ยังมาร้อง “ชิลล์ ชิลล์ ได้ไหม รู้ไหมว่าใจฉันปลิว”

สรุปว่าผมก็ยังคิดไม่ออกครับว่าทำไมคนรุ่นนี้ถึงนิยมชมชอบอาการทอดหุ่ยใจเย็น ใจปลิวๆ แบบนี้ 
เอาเป็นว่าอย่าคิดมากเลย เดี๋ยวจะเครียดไป ชิลล์ ชิลล์ดีกว่าครับ

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

กระเป๋ารั่ว


        เดี๋ยวนี้พอผ่านพ้นช่วงปีใหม่ทีไร ผมก็คิดทุกครั้งว่าอายุเพิ่มขึ้นอีกปีแล้วสินะ คิดแล้วก็เหลือเชื่อ มองย้อนกลับไปในวันที่อายุ 18 ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งผมจะกลายเป็นชายวัยกลางคน พุงพลุ้ย มีปัญหาผมบาง เหนื่อยง่าย ขึ้นบันไดไม่กี่ชั้นก็หอบแฮ่กๆ 
        
        อาการแบบนี้มันฟังดูไกลตัวมากๆ มันไม่น่าเป็นเรื่องที่จะเกิดกับผมได้เลย แต่แล้วเวลาก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เด็กหนุ่ม 18 ในวันนั้นกลายมาเป็นหนุ่มใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

        สามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเจออะไรมาบ้าง ได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง ผมนั่งทบทวนกับตัวเองเงียบๆ คนเดียว ได้คำตอบว่าเยอะ เยอะจนอยากจะทำเป็นคู่มือ “สิ่งที่ควรจะรู้ไว้ก่อนที่จะอายุสามสิบ” 
        อาทิ 
        อย่าซีเรียสกับเรื่องเรียนมาก เอาแค่ผ่านก็พอ
        เวลาช่วงเรียนมหาวิทยาลัยคือช่วงเวลาที่เราควรเต็มที่กับชีวิต
        เลือกงานโดยมองระยะยาวว่างานนั้นจะนำเราไปสู่อะไร อย่าเลือกงานเพราะความชอบ ความง่าย หรือตรงกับที่จบม
        รักษาสายสัมพันธ์ของคนทุกคนที่เรารู้จักไว้ให้นานๆ เพราะมันจะมีประโยชน์ในอนาคต 
        จะเลือกแฟนที่หน้าตาก็ได้ แต่จงเลือกคู่ชีวิตจากนิสัยและความคิด
        เวลามีค่ามาก เพราะเราไม่ได้เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไป
        ลงหลักปักฐานให้ได้ก่อนสามสิบจะดีมาก เพราะหลังจากนั้นเราจะเริ่มหมดแรงกับชีวิต 
        ดอกเบี้ยบ้านแพงกว่าดอกเบี้ยรถมากๆ ขนาดที่ว่าบ้านสองล้านกลายเป็นบ้านห้าล้านได้ ถ้าผ่อนสามสิบปี
        อย่าเครียดกับชีวิต แต่ก็อย่าถึงกับไม่คิดอะไรกับมันเลย
        ถ้าอยากเข้าใจพ่อแม่ จงมีลูก ถ้าอยากเข้าใจลูก จงนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ 
        ฯลฯ

        แต่คิดไปคิดมาผมคงมิบังอาจเขียนคู่มือที่ว่า เพราะชีวิตใครก็ชีวิตมัน สูตรสำเร็จคงไม่มีตายตัว บางคนอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมคิด ถึงแม้ว่าลึกๆ ผมก็ยังเชื่อนะครับว่าถ้าคนรุ่นหลังได้อ่านประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านชีวิตมาก่อน บางทีก็อาจจะไม่ต้องลองผิด แต่ลองถูกได้เลย (ถึงแม้ว่าบางประสบการณ์จะต้องเจอกับตัวเองถึงจะรู้ซึ้งก็ตาม)

        หันกลับไปมอง ผมพบว่าเพื่อนที่เราเคยคิดว่าซี๊ปึ้กกันสุดๆ จนน่าจะคบกันไปตลอดชีวิต วันนี้ก็นานๆ เจอกันที ต่างคนต่างมีทาง บางคนที่เราเคยนึกไม่ชอบใจ วันนี้ก็เข้าใจเขามากขึ้นว่าแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง หรือบางอย่างที่เคยเชื่อสุดใจ วันนี้ก็กลับไม่คิดไม่เชื่ออย่างนั้นแล้ว

        ถ้าเปรียบเทียบวันแต่ละวันที่เรามีเท่ากับเงินหนึ่งบาท และถ้าผมมีอายุขัยถึง 70 ปี ผมก็จะมีเงินทั้งสิ้น 25,550 บาท ซึ่งตอนนี้ผมใช้ไปไม่น้อย และเหลือเงินในกระเป๋าอีกหมื่นกว่าบาทเท่านั้น 

        สิ่งที่แย่ก็คือกระเป๋าใบนี้มันรั่ว ไม่ว่าเราจะใช้หรือไม่ใช้ เงินมันก็จะรั่วออกจากกระเป๋าวันละหนึ่งบาททุกครั้งไป
คำถามก็คือ แล้วผมควรใช้เงินแต่ละบาทไปกับอะไรดี?
ผมควรจะใช้ชีวิตแต่ละวันไปกับอะไรดี?

        ใช้ชีวิตแบบโลดโผน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตคิดถึงอนาคต ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น ใช้ชีวิตในเมือง ใช้ชีวิตต่างจังหวัด ใช้ชีวิตอย่างทะเยอทะยาน ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใช้ชีวิตหรือให้ชีวิตมันใช้เรา?

        วันนี้ยังไม่รู้จริงๆ ครับ คิดออกแล้วจะมาบอก ฝากการบ้านให้ช่วยคิดด้วยนะครับ ผมหมายถึงชีวิตของคุณ ไม่ใช่ของผม

        เพราะกระเป๋าคุณก็รั่วเหมือนผมนะครับ 
        อย่าทำเป็นเล่นไป ระวังหมดตัว จะหาว่าไม่เตือน!