วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หนังสือรุ่น


        หลายวันก่อนผมมีโอกาสได้กลับไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นประถม มาห่างกันไปตอนชั้นมัธยม เพราะถึงจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ก็อยู่คนละห้อง จากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกกันไปแบบถาวร เรียกว่าแทบไม่ได้เจอหน้าเจอตากันอีกเลย

        เพื่อนผมคนนี้ ตอนเด็กๆ มันตัวไม่สูงมาก การเรียนก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง แต่พอเวลาผ่านไป 20 กว่าปี ตอนนี้ตัวมันใหญ่กว่าผมมาก หน้าที่การงานก็ใหญ่โตเพราะเป็นเจ้าของกิจการ มีออฟฟิศระดับสิบกว่าล้านอยู่กลางเมือง

        เรานั่งคุยกันถึงอดีต นั่งคุยถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้ บ้างก็ไปได้สวย บ้างก็ไปได้เสีย บางคนชีวิตก็พลิกผันจนไม่น่าเชื่อ คนนึงตอนเด็กๆ เคยเป็นเด็กผู้หญิงท่าทางขี้อาย ดูซอมซ่อ แต่ตอนนี้เป็นคุณหมอมาดมั่นและกำลังตั้งท้องอยู่ อีกคนนึงไปร่ำเรียนจนจบปริญญาโทจากอเมริกา แต่ตอนนี้กลับมาช่วยที่บ้านขายของ อีกคนนึงอดีตเคยเป็นนักซิ่งบิดมอเตอร์ไซค์ป่วนเมือง (สมัยนั้นต้องฮอนด้าโนวาเท่านั้นครับ) ปัจจุบันจบเศรษฐศาสตร์และกลายมาเป็นนักธุรกิจใหญ่ หรืออีกคนนึงที่ธรรมะธรรมโมตั้งแต่สมัยเรียน ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปแล้วหลายปี

        ยิ่งคุยก็เหมือนอดีตจะยิ่งไม่มีวันหมด ผมกับเพื่อนนั่งขุดความทรงจำกันอยู่เป็นชั่วโมงๆ อย่างออกรสชาติ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนผมมันจะจำชื่อจริงนามสกุลจริงของเพื่อนทุกคนได้ ที่สนุกก็คือเราสองคนต่างก็จำพื้นที่ทุกตารางนิ้วของโรงเรียนสมัยประถมได้เป็นอย่างดี 

        ตรงนั้นไงที่ครูสั่งให้ปลูกข้าวโพด มันอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งเหม็นมาก ตรงนี้ไงที่มีต้นหูกวางที่เราพยายามเอาก้อนหินมาทุบๆๆๆ เพื่อจะกินเมล็ดของมัน แล้วก็ตรงโน้นไงที่กำแพงมีภาพวาดรูปปลาฉลามกัดขาคนจนเลือดออก ตอนนั้นเราไม่กล้าเดินผ่านไปตรงนั้นเลยว่ะ นายจำได้ใช่มั้ย

        สำหรับเพื่อน ไม่ว่าจะห่างกันไปนานแค่ไหน แต่พอเอาธัมท์ไดรฟ์ที่มีข้อมูลอดีตอยู่ในนั้นมาเชื่อมกัน เท่านั้นก็ต่อติดทันที

        ผมเคยได้ยินประโยคคมๆ ประโยคนึงจากเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท เขาบอกไว้ว่า "ตอนเรียนอยู่ ไม่ว่าใครจะมาที่ไหน ยากดีมีจนเท่าไหร่ ก็ดูจะไม่ต่างกันมาก แต่พอเรียนจบแล้ว ความสามารถในการสร้างชีวิตที่แตกต่างกัน จะทำให้ชีวิตของแต่ละคนต่างกันไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งๆ ที่ตอนเรียนอาจจะนั่งเรียนโต๊ะติดกัน กินข้าวจานละ 15 บาทเหมือนกัน"

        ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้แบบเต็มๆ เลยครับ เพราะเพื่อนๆ ปริญญาสมัยที่ผมเรียนนั้นมีกันอยู่ 7 คน แต่ละคนกระจัดกระจายกันไปคนละทาง คนนึงหน้าที่การงานใหญ่โตไปเป็นผู้จัดการห้างดังอยู่ที่ภูเก็ต คนนึงเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดย่อม คนนึงรับราชการ คนนึงเป็นอาจารย์ คนนึงไม่มีใครรู้ข่าวคราวอีกเลย ส่วนผมก็มาทำงานที่ไม่ตรงกับที่เรียนมา

        ส่วนเจ้าของประโยคคมๆ ประโยคนั้น ปัจจุบันเป็นถึงเจ้าอสังหาริมทรัพย์มูลค่าเกือบร้อยล้าน และทุกวันนี้กำลังหันไปจับธุรกิจนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน

        ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า คงจะดีถ้าเราย้อนเวลากลับไปหาตัวเองเมื่อตอนเด็กๆ ได้ แล้วเดินเข้าไปบอกว่าอนาคตนายจะโตขึ้นไปเป็นแบบนี้นะ ทำตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ หรือกลับไปบอกว่าคนคนนี้จะกลายมาเป็นภรรยาของนายในอนาคตนะ ดูแลเธอให้ดีๆ (หมายเหตุ: นี่คือเรื่องจริง เพราะผมกับภรรยาคือเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถมครับ)

        สมัยเด็กๆ เรานึกไม่ออกเลยครับว่าอะไรที่รอเราอยู่ข้างหน้า สิ่งที่วันนี้มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ ณ วันนั้นมันคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ผมล่ะอยากจะกลับไปดูใบหน้าของผมกับเพื่อนๆ สมัยประถมจริงๆ อยากจะรู้ว่าตอนนั้นพวกเราหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง

        สงสัยวันหยุดคงต้องหาเวลากลับไปโรงเรียนเก่า ไปขอครูดูหนังสือรุ่นที่ทุกวันนี้ยังเก็บไว้ที่โรงเรียนอยู่เลย

        ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็แค่อยากรู้ว่าตอนถ่ายรูป ผมกับภรรยานั่งติดกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง :)      

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนที่เราลืมรัก


        น้ำตาหยดนั้นของคุณยายวัย 90 ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก มันเตือนให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเคยลืมไปแล้ว
        
        ถ้าคุณไม่เคยเห็นน้ำตาคนแก่ คุณคงนึกได้ยากว่ามันน่าเศร้าแค่ไหน คิดดูสิครับ คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานขนาดนั้น จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้ร้องไห้ได้
        
        ผมนั่งลงคุยกับคุณยายท่านนี้ เราเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน แต่คงจะเป็นเพราะคุณยายแกอยู่คนเดียวมานาน ไม่ค่อยจะมีคนคุยด้วย เนื่องจากลูกหลานเอามาปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวในบ้านหลังย่อมๆ พอเจอคนแปลกหน้าอย่างผมมาคุยด้วย แกก็เลยดีใจอย่างเห็นได้ชัด

        คุณยายในวัยเกือบร้อยยังแข็งแรงดีอยู่ เดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า แต่ก็ต้องพยุงกันบ้าง มือผมสัมผัสแขนคุณยาย ลำแขนนั้นเหี่ยวย่น คล้ายผ่านกาลเวลามาแสนนาน 

        ผมพยุงแกลงนั่ง เราเริ่มบทสนทนากัน แกออกตัวก่อนว่าค่อนข้างจะหลงๆ ลืมๆ พูดผิดๆ ถูกๆ ก็อย่าว่ากัน แต่เท่าที่คุยกัน ผมว่าในวัยขนาดนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเราไม่ต้องตะโกนคุยกัน จะมีก็แค่ตอนที่แกพยายามนึกว่าห้างเซ็นทรัลที่แกเพิ่งไปมามันเรียกว่าห้างอะไร

        เสียงคุณยายเล่าเรื่องความหลังอย่างออกรส ปูนนี้แล้ว คงไม่มีเรื่องของอนาคตมาบอกเล่าให้ใครฟัง ผมสงสัยอยู่ในใจว่าคนอายุขนาดนี้แบกอดีตไว้หนักเท่าไหร่กันนะ 

        คุณยายลุกขึ้นไปหยิบรูปภาพสมัยสาวๆ มาให้ผมดู ตอนนั้นแกน่าจะวัยสัก 17 แกบอกว่าถ่ายสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

        เล่าไปเล่ามา คุณยายบอกกับผมว่าถ้าลูกรู้ว่าแกคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้ คงจะโดนด่าแน่ๆ แกบอกว่าลูกชอบด่าแกแรงๆ ว่าไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วยังชอบเล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นฟังอีก

นาทีนั้นเองที่น้ำตาหยดนั้นไหลลงอาบแก้มเหี่ยวๆ ของคุณยาย 

ผมบรรยายความรู้สึกตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน รู้อย่างเดียวว่าสงสัยแอร์ในห้องที่เรานั่งอยู่คงจะเสีย เพราะดูอุณหภูมิจะร้อนขึ้น ผมแอบแหงนหน้ามองเพดาน ไม่อยากให้น้ำตาหยดนั้นของผมไหลออกมา

คุณยายคนนี้ทำให้ผมนึกถึงคุณยายที่ผมรู้จักอีกคน แกป่วยมานานถึง 10 ปี และเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วแกก็จากไปอย่างสงบ (พร้อมกับให้หวยตามเลขอายุ เล่นเอาคนมางานศพรวยไปตามๆ กัน

ลูกสาวคนเดียวของแกที่คอยดูแลมาตลอด หมดเงินค่ารักษาไปก็หลายล้าน วันนี้เหมือนทำตัวไม่ถูก ต้องมาวานให้แม่ผมไปช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพ ผมจำได้ว่าวันที่คุณยายคนนี้ยังแข็งแรงดีอยู่ ดูแกกับลูกสาวจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไม่น้อย เสียงทะเลาะกันปลิวมาเข้าหูที่บ้านผมอยู่บ่อยๆ

แต่วันนั้นในงานศพ วันที่ลูกสาวรดน้ำลงบนมือแม่ที่ไร้เลือดฝาด พร่ำบอกถึงความรักความคิดถึงที่มีต่อแม่ ผมไม่รู้ว่าเสียงนี้จะดังไปถึงบนฟ้าหรือเปล่า?

ขอโทษครับ ขอพักเช็ดน้ำตาก่อน พิมพ์ต่อไม่ไหวแล้วครับ

....
...
..

ผมนึกถึงอีกเหตุการณ์นึง รุ่นน้องที่ผมรู้จักเล่าให้ฟังว่า น้องสาวเธอกับแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ ส่วนใหญ่ไม่มีเรื่องราวอะไรใหญ่โต ก็แค่แม่ขี้บ่นกับลูกสาวขี้รำคาญ แต่ดูเหมือนสองสามวันที่ผ่านมาเรื่องราวจะบานปลาย น้องสาวทนเสียงบ่นไม่ไหว ตัดสินใจเก็บกระเป๋าจะออกจากบ้านจะย้ายไปอยู่คนเดียว 

รุ่นน้องผมบอกว่าน้องสาวโกรธมาก ตะโกนออกมาลั่นบ้านว่าเกลียดแม่ เกลียดแม่! เกลียดแม่!! เกลียด เกลียด เกลียด!!! ชีวิตอย่าได้มาเจอกันอีกเลย รำคาญ

ร้อนถึงพ่อกับรุ่นน้องผมที่ต้องไปคอยห้ามปรามให้อารมณ์เย็นลง แต่น้องสาวคนนั้นกลับบอกว่าต้องให้แม่มาขอโทษ ถึงจะยอมไม่ออกจากบ้าน 

สุดท้ายเพื่อไม่ให้เรื่องไปกันใหญ่ แม่-ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกมานับสิบๆ ปี กลับต้องมาขอโทษลูกสาว เพื่อไม่ให้ลูกสาวจากไป

คิดแล้วก็เศร้านะครับ ทำไมเรา-ผมหมายถึงใครหลายๆ คน (ซึ่งรวมถึงตัวผมด้วยที่ก็มีบ้างที่เคยทำให้แม่ต้องเสียใจจนมีน้ำตา) ถึงได้ทำกับผู้หญิงเจ้าของเลือดที่กลั่นเป็นน้ำนมให้เราดื่มกินได้ขนาดนั้น

ผมไม่เคยเข้าใจประโยคที่ว่า “วันที่ลูกเกิดมาคือวันที่ความฝันของพ่อแม่ต้องจบลง” จนกระทั่งวันที่ผมเป็นพ่อคน ผมถึงเข้าใจว่าพ่อแม่ล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อเราเหล่าลูกๆ ทุกคน 

คุณเคยถามท่านไหมครับว่าความฝันของพ่อแม่คืออะไร บางทีท่านอาจจะลืมไปแล้ว และคงได้แต่ตอบมาว่าฝันของพ่อแม่ก็คืออยากให้ลูกทุกคนสุขสบาย

ในขณะที่หนุ่มสาวทุกคนวุ่นวายกับเทศกาลเฉลิมฉลองในเดือนนี้ ชุลมุนในการคิดว่าจะไปเที่ยวไหนกับคนรักดีที่อากาศหนาวๆ จะได้กอดกันให้อุ่นจนผ้าห่มอิจฉา

พอจะมีเหลือกอดสักกอดไปฝากผู้หญิงคนนั้น คนที่วันๆ งกๆ เงิ่นๆ อยู่หน้าเตาที่ครัวหลังบ้านบ้างไหมครับ?

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อันความรักเป็นเรื่องเล็กน้อย...แต่ยิ่งใหญ่


        ถ้าจะมีเพลงรักเพลงไหนสักเพลงที่ผมพอจะนึกออกว่ามีเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่มากๆ ไม่ใช่อกหักฟูมฟายแบบวัยรุ่น เพลงนั้นก็น่าจะเป็นเพลง "รักต้องสู้" ของ แอ๊ด คาราบาว 

        ผมชอบท่อนหนึ่งในเพลงนี้ที่บอกว่า “อันความรักเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตคนเรา” จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ฟังเพลงนี้ในปี 2532 หรือ 23 ปีมาแล้ว ตอนนั้นผมยังละอ่อนเกินกว่าที่จะเข้าใจความหมายของเพลงนี้ (แถมยังรู้สึกตะหงิดๆ กับเนื้อเพลงอีกท่อนที่ว่า “วันนี้เราเจ็บอย่างไร วันต่อไปอาจเจ็บกว่านี้” ว่าตกลงนี่มันปลอบใจหรือซ้ำเติมกันแน่?)

พอมาถึงช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย เพลงนี้ก็กลับเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครั้ง วันนั้นผมยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ว่าทำไมน้าแอ๊ดเขาถึงบอกว่า “อันความรักเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตคนเรา” เพราะสำหรับผมในตอนนั้นซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่น ความรักมันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยเฉพาะตอนที่เราอกหัก

ล่าสุดเพลงนี้กลับมาในความคิดผมอีกครั้ง เพราะมีสองเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเข้ามาในชีวิตผม

เหตุการณ์แรก รุ่นน้องคนหนึ่งที่ผมรู้จักเลิกกับแฟน ทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงและตัดสินใจแยกทางกัน หลังจากที่คบกันมาเกือบสี่ปี สาเหตุเนื่องจากเหตุผลคลาสสิกที่ว่าความคิดไม่ตรงกัน ไม่มีเวลาให้กัน 

ฝ่ายชายไปมีผู้หญิงใหม่ในทันที ในขณะที่ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นฝ่ายที่ผมรู้จักนั้นเธอทำร้ายทำลายตัวเองให้หมดคุณค่าไปเรื่อยๆ นั่งร้องไห้ จมจ่อมอยู่ในความคิด ตกเย็นก็ไปหาร้านเพื่อเมาจะได้ลืมว่าเขาไปมีคนใหม่แล้ว ทำเหมือนกับว่าชีวิตนี้ไม่มีคุณค่าอีกต่อไปแล้ว

นาทีแรกๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นได้ถึงเพียงนี้ ผมอยากจะบอกน้องเขาว่า “อันความรักเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตคนเรา” แต่นาทีต่อๆ มาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในวัยของเธอ เรื่องรักนั้นใหญ่กว่าชีวิตมากๆ ปล่อยให้เธอเศร้าให้พอ บางทีเธออาจจะเข้าใจสักวันนึงว่า “วันนี้เราเจ็บอย่างไร วันต่อไปอาจเจ็บกว่านี้” ผมไม่ควรจะเอาความคิดของผมไปตัดสินใคร

เหตุการณ์ที่สอง สืบเนื่องจากที่ผมเป็นมนุษย์เฟซบุ๊กติดงอมแงม ต้องเข้าไปอัพเดททุกวัน แล้ววันหนึ่งไม่รู้อะไรดลใจผมให้ลองค้นหาชื่อของผู้หญิงที่ผมเคยรู้สึกดีๆ ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งก็ปรากฏว่าเจอจริงๆ ผมลองกดปุ่มขอเธอเป็นเพื่อน เธอตอบรับมาในวันถัดมา

ผมจึงได้รู้ว่าเธอแต่งงานไปแล้ว แวบแรกผมรู้สึกเฉยๆ เพราะผมเองก็แต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่พอได้ดูวิดีโองานแต่งงานของเธอที่เธอโพสต์ไว้ ผมนั่งดู เห็นภาพงานตั้งแต่เช้าที่เจ้าบ่าวมาขอเจ้าสาว เรื่อยไปจนถึงงานตอนเย็นที่บนเวทีเจ้าบ่าวจะต้องหอมเจ้าสาวเป็นพิธี

แล้วความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างก็เข้ามาในใจผม 
ผมก็แค่คิดว่าที่ตรงนั้น ที่ตรงข้างๆ เจ้าสาว มันเคยเกือบได้เป็นที่ของผม

เปล่านะครับ เปล่า ผมไม่มีความคิดเสียดายหรืออยากจะกลับไปคบกับเธออีก (ถ้าบังเอิญภรรยาผมมาอ่าน เค้าเปล่านะตัวเอง เค้ารักตัวเองที่สู้ดดด จุ๊บๆ) เพียงแต่คิดขึ้นมาว่า วันนั้นผมเจ็บปวดฟูมฟายเมามายไม่ต่างจากน้องผู้หญิงที่ผมเล่าให้ฟัง แต่วันนี้กลับเฉยๆ ที่เห็นเธอแต่งงานไปแล้ว (แถมยังหัวเราะไปกับวิดีโอพรีเซนเทชั่นที่เล่าเรื่องว่าทั้งคู่เจอกันได้อย่างไรได้ตลกมากๆ)

วันนี้ผมคิดว่าผมเข้าแล้วล่ะครับว่า “อันความรักเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตคนเรา” ที่น้าแอ๊ดแกพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร


วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ไฟฟ้า


        ขบวนรถยนต์ต่อแถวยาวตั้งแต่ในหมู่บ้านล้นไปจนถึงหน้าหมู่บ้าน เสียงรถบีบแตรไล่ให้หัวแถวขับออกไปจากที่นี่เร็วๆ ผู้คนเดินกันอย่างร้อนรน ร้านสะดวกซื้อที่เคยเปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไฟดับสนิท ร้านรวงปิดกันทุกร้าน ความร้อนของแดดเหมือนจะแผดเผาทุกอย่างให้ละลายลงไปกองกับพื้น ทุกคนเร่งรีบหนีออกจากหมู่บ้าน ประหนึ่งว่าหนีตาย

        ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่ฉากในหนังแอ็คชั่นภัยพิบัติถล่มโลกหรือผู้คนหนีตายในวันโลกแตกหรอกครับ แต่มันคือฉากที่ผมยังจำได้ดีแม้จะผ่านมา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นที่หมู่บ้านผมและบริเวณใกล้เคียงถูกตัดกระแสไฟฟ้าตั้งแต่แปดโมงเช้ายันบ่ายสาม เนื่องมาจากการไฟฟ้าซ่อมแซมเสาไฟฟ้าใหม่ (ที่ชาวบ้านทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมต้องมาซ่อมวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่แทบทุกคนอยู่บ้านด้วยก็ไม่รู้)

แต่เนื่องจากมีป้ายแจ้งเตือนการดับไฟล่วงหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว ทุกคนในหมู่บ้านจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าวันอาทิตย์เกิดเหตุจะพาตัวเองหนีไปที่ไหนดี และจากผลการสำรวจที่ผมคุยกับชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นร้านขายยา ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ร้านหนังสือ ทุกคนตอบมาคล้ายๆ กันว่า “ไปห้าง” 

ส่วนที่บ้านผม อยากไปห้างอย่างคนอื่นเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าตอนนั้นลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะอายุ 10 วันเท่านั้น ก็เลยไม่อยากให้ไปติดเชื้อโรคมา ผม ภรรยา ลูก 2 คนและพี่เลี้ยงจึงยกโขยงกันไปเช่าอพาร์ตเมนต์รายวันอยู่กันชั่วคราว

สำหรับใครที่ไม่เคยโดยตัดไฟอย่างนี้ อาจจะไม่รู้นะครับว่าไฟที่บ้านเราจะไม่ได้ดับลงในทันที แต่มันจะค่อยๆ หรี่ลงๆ แล้วก็ดับในที่สุด ตอนที่ไฟดับ ภรรยากำลังกินข้าว ส่วนผมกำลังอาบน้ำให้ลูกสาว 

มาคิดตอนนี้แล้วก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเรา-ผมหมายถึงผมกับภรรยา-ทำเหมือนไม่เชื่อว่าไฟมันจะดับจริงๆ ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย พอไฟดับขึ้นมาก็วิ่งกันวุ่น เพราะเพียงแค่สิบนาทีบ้านก็ร้อนจนแทบอยู่ไม่ไหว กับข้าวที่ทำเผื่อไว้ว่าจะเอาเข้าตู้เย็นก็ลืมไปว่าตู้เย็นมันต้องใช้ไฟฟ้า กังวลว่าน้ำจะไม่ไหลแล้วจะไม่มีน้ำอาบก็ลืมไปว่าน้ำไม่เกี่ยวกับไฟฟ้า แถมยังวิ่งหาพัดกันให้วุ่น เพราะครั้งสุดท้ายที่ใช้พัดนั้นไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

กว่าจะออกจากบ้านได้ ก็ใช้เวลากันเกือบครึ่งชั่วโมง เชื่อมั้ยครับว่านาทีที่ไปถึงอพาร์ตเมนต์ ขึ้นห้อง เสียบกุญแจแล้วไฟสว่างทั้งห้อง ผมดีใจประมาณว่าโทมัส เอดิสัน สามารถประดิษฐ์หลอดไฟที่สว่างไสวได้นาน 8 ชั่วโมงเลยล่ะครับ

วันนั้นผมจึงได้รู้ว่ามนุษย์นั้นขาดไฟฟ้าไม่ได้จริงๆ เพราะอะไรๆ ในบ้านก็ดูจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเสียหมด แอร์ พัดลม คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ที่นึ่งขวดนม ตู้เย็น กาต้มน้ำร้อน  โดยเฉพาะหน้าร้อนแบบนี้ ใครๆ ก็คงอยู่ไม่ติดบ้านถ้าไม่มีแอร์

คิดแล้วก็น่าแปลกเหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนอยู่กันได้อย่างไรในวันร้อนๆ แบบนี้ ไม่มีพัดลม มีแต่พัดมือ ไม่มีตู้เย็น มีแต่น้ำเย็นๆ ในตุ่มดิน

เมื่อก่อนเมื่อนานมาแล้วผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ติดแอร์ เพราะรู้สึกว่ามันเอาเปรียบมากๆ ที่โยนออกมาความร้อนออกมาพ่นใส่คนอื่น พวกรถยนต์ก็เหมือนกัน เดินใกล้ๆ ทีไร ร้อนแทบจะละลาย แต่คนในรถนั่งสบายใจเฉิบ

ที่ไหนได้วันนี้บ้านผมติดแอร์สามตัว ขับรถยนต์ก็เปิดแอร์เย็นยะเยือก

บ่ายสาม ได้เวลากลับมาบ้าน ครอบครัวผมก็ยกโขยงกลับมาบ้าน สารภาพครับว่ารู้สึกรักบ้านขึ้นอีกเป็นกอง นาทีที่กดสวิตช์ไฟแล้วไฟติด ผมไม่เคยคิดถึงไฟฟ้าเท่านี้มาก่อน

ในใจผมคิดว่า แหม เรานี่มันมนุษย์ไฟฟ้าแท้ๆ เลยนะเนี่ย 

ผมคือนักลงพุงอิสระ


        ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และผมก็ไม่รู้ว่ามันค่อยๆ ขยายตัวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว 
        รู้ตัวอีกที ผมก็ "ลงพุง" ไปเรียบร้อยแล้ว
        
        พูดอย่างปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยผมก็ยังโชคดีที่รูปร่างค่อนข้างสูง แต่ถึงกระนั้นการมีห่วงยางถาวรอยู่ที่เอวก็ไม่เคยดูเท่อยู่แล้ว มันเหมือนต้นไม้ที่บวมตรงกลาง

        เดี๋ยวนี้เวลาจะลุกจะนั่งทีผมเริ่มรู้สึกอึดอัด กางเกงที่เคยใส่ได้ ต่อมาก็กลายเป็นต้องปลดตะขอ ใช้เข็มขัดรัด และที่สุดเมื่อปลดตะขอยังเอาไม่อยู่ ก็ต้องเลิกใส่ไปเลย (หมายถึงเลิกใส่กางเกงตัวนั้นนะครับ ไม่ใช่เลิกใส่กางเกงมาใส่กระโปรงแทน)

        เคยเห็นรูปภาพในเว็บไซต์รูปหนึ่ง เป็นรูปคนอ้วนมากๆ นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีแผ่นซีดีตกอยู่ที่พื้น ภาพนั้นเขียนบรรยายสั้นๆ ว่า "อึม...ไรท์แผ่นใหม่ดีกว่า

        ผมว่ามันเป็นอะไรที่ฮามากๆ เป็นตลกที่เรียบง่ายและใช่เลย เพราะการจะให้คนอ้วนก้มหยิบของที่พื้นนั้น ถือเป็นเร่ืองใหญ่ปานเข็นภูเขาขึ้นครก

        ผมพยายามหาแพะรับบาปของเหตุผลแห่งการอ้วน อายุมากขึ้นมั้ง (ระบบเผาผลาญเลยไม่ค่อยสมบูรณ์ เราไม่ได้กินเยอะสักหน่อย) ไม่ได้ออกกำลังกาย (ก็งานมันยุ่งนี่นา) ชอบกินตอนดึกๆ (ก็งานมันเยอะ ตีหนึ่งตีสองยังทำงานอยู่เลย ก็ต้องหิวเป็นธรรมดา แหม แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองเดียว ขนมอีกนิด กาแฟอีกแก้ว อ้าว ชักเยอะ)

        โทษไปอย่างนั้นแหละ ทั้งที่รู้ว่ารากฐานของความลงพุงทั้งหมดที่ผมเป็นอยู่ มันคือคำว่า "ไม่มีวินัย" และ "ห้ามใจไม่อยู่" (ซึ่งก็แปลว่าไม่มีวินัยนั่นแหละ)

        ผมค่อนข้างเชื่อว่าไม่มีคนอ้วนคนไหนในโลกนี้หรอกครับที่ไม่รู้ว่าถ้าอยากจะผอมจะต้องทำยังไง ที่เราเฝ้าหาสูตรเด็ดลดความอ้วน โลว์คาร์บ กินปลา กินไข่ขาว กินมื้อเดียว กินแอ๊ปเปิ้ล กินสารสกัดจากถั่วขาว กินกาแฟลดน้ำหนัก หรือไม่ก็ไม่กินเลย 
       ถามจริงๆ ว่าไม่รู้เหรอครับว่าสาเหตุหลักๆ ที่อ้วนนั้นมันมาจาก "เอาเข้า" มากกว่า "เอาออก" (ไม่นับกรณีที่ระบบเผาผลาญผิดปกตินะครับ)

       แต่ที่อ้วนกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรา "ยอม" ให้มันอ้วน เรา "เลือก" ที่จะอ้วนเองต่างหาก ข้ออ้างอย่าง "ไม่มีเวลาออกกำลังกาย" นั้นก็รู้แก่ใจครับว่าจริงๆ แล้ว "มีเวลา แต่ไม่อยากออก" มากกว่า

       ผมถามว่าถ้าเราลดน้ำหนักได้ แล้วมีคนให้เงิน 1 ล้านบาททุกๆ 1 กิโลกรัมที่น้ำหนักตัวลดลงไป เราจะผอมมั้ยครับ?

       และหลังจากที่โรคอ้วน (ใช่ครับ ความอ้วนถือว่าเป็นโรคนะครับ) มาเยือนผม อีกโรคที่มาคุกคามแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่งก็คือ โรคกรดไหลย้อน ที่จะมีอาการจุกที่คอประมาณเหมือนกับมีใครมาบีบคอ ทรมานมาก และก็เช่นเคย สาเหตุของโรคนี้ผมก็รู้หมดว่ามาจาก เครียด กินอาหารไม่ตรงเวลา กินดึก กินของมัน กินของเผ็ด ไม่ออกกำลังกาย
        ที่ว่ามานี้ผมทำแบบนั้นทั้งหมด แล้วมันจะไม่เป็นได้อย่างไร? เข้าข่าย "รู้ดี แต่ไม่มีวินัย ห้ามใจไม่อยู่"

       “วินัย" (ไม่ได้ล้อชื่อบุพการีใครนะครับ) ผมครุ่นคิดถึงคำนี้ อึม...นั่นสิ ผมเป็นคนมีวินัยหรือเปล่านะ? ลองค้นหาความหมายของคำนี้ดู ก็ทางก๊ารทางการเหลือเกิน เขาบอกว่า "วินัย หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ข้อบังคับสำหรับควบคุมความประพฤติทางกายของคนในสังคมให้เรียบร้อยดีงาม เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน จะได้อยู่ร่วมกัน ด้วยความสุขสบาย ไม่กระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน"

        ผมคิดว่าถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ อย่างที่คำจำกัดความอย่างเป็นทางการนี้นิยามไว้ คนส่วนใหญ่ก็น่าจะมีวินัยกันนะครับ

        แต่ที่เราพลาดก็คือ เราขาดวินัย "ในเรื่องเล็กๆ" มากกว่า จนนิสัยหรือพฤติกรรมแย่ๆ มันสะสมก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีมันก็ใหญ่เท่าพุงผมนี่ล่ะครับ

        ไขมันรอบเอวนั้นเปรียบไปก็คล้ายนิสัยแย่ๆ ที่ก่อตัวทีละนิดๆ ทุกวัน อาทิ ชอบคิดลบ ชอบใช้เงินเปลือง ไม่ชอบออกกำลัง ไม่ชอบกินผัก ฯลฯ กว่าเราจะรู้ตัวอีกที เราก็ถูกนิสัยนั้นทำร้ายเสียแล้ว
         ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่เราต้องลุกขึ้นมาเข้มงวดมีวินัยกับเรื่องเล็กๆ ที่มองข้ามไม่ได้เสียที

         เขียนมาตั้งนาน ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ขอตัวไปต้มมาม่ากินก่อนนะครับ รู้วึกจะหิวขึ้นมาแล้ว :)

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บ้านตัวอย่าง


        สองสามปีที่แล้ว ผมกับครอบครัวตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เป็นว่าเล่น ด้วยเหตุที่ว่าจู่ๆ ก็คิดจะสร้างหนี้เพิ่มด้วยการไปซื้อบ้านหลังใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม เพื่อต้อนรับการมาถึงของเจ้าตัวน้อย-ซัมเมอร์-ลูกสาวคนที่สองของผม

        สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการออกทัวร์ตามโครงการหมู่บ้านจัดสรรนั้นเยอะทีเดียวครับ เริ่มตั้งแต่ได้ขับไปเส้นทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป ผมพบว่าเวลาเราขับรถไปในที่ที่ไม่คุ้น ประสาทต่างๆ ของเราจะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่ สมองต้องทำงานหนักกว่าเดิม ไหนตายังจะต้องสอดส่ายดูป้ายโครงการนับสิบๆ (ซึ่งผมเชื่อว่าบ้านเราน่าจะติดอันดับประเทศที่มีจำนวนป้ายโฆษณาริมทางเยอะที่สุดในโลก) เพราะแต่ละป้ายนั้นต่างก็ช่วงชิงความโดดเด่นกันแบบสุดๆ ถ้าคลาดสายตาก็อาจขับเลย และไม่มีโอกาสได้วนกลับมาอีกง่ายๆ

        สารภาพนะครับว่าผมเพิ่งรู้ว่าถนนสุขาภิบาล 5 มันอยู่ตรงไหน แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าบางใหญ่ซิตี้มันใหญ่จริงๆ ขนาดว่าเป็นเมืองย่อมๆ ได้เลย ไหนยังจะเส้นทางแถวบ้านเก่าผมอย่าง ซอยท่าอิฐ ไทรม้า บางบัวทอง ที่ผมอยู่มาตั้งหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยขับเข้าไป หรือที่อเมซิ่งสุดๆ ก็คือโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า ตรงถนนนครอินทร์ พระราม 5 ที่ว่าอเมซิ่งก็เพราะโรงเรียนนี้ใหญ่มากๆ มากถึงมากที่สุด ขนาดน้องๆ โรงเรียนฮอกวอตส์เลยล่ะครับ

        ใบที่ รปภ. กำชับว่าอย่าลืมเอาให้ฝ่ายขายเซ็น น้ำขวดเล็ก รถกอล์ฟ แบบฟอร์มกรอกข้อมูล สอบถามค่าส่วนกลาง คืออีกหลายๆ ไฟต์บังคับที่เราจะต้องเจอเวลาเข้าไปดูบ้านตามโครงการ เรียกว่าพอผมไปดูสัก 3-4 ที่ก็เริ่มจะเป็นนักดูบ้านมืออาชีพขึ้นมาทันที รู้ขั้นตอนไปซะทุกอย่าง 

        แต่สิ่งที่หนึ่งที่กระทบใจผมมากที่สุด โดยเฉพาะหมู่บ้านแรกๆ ที่ไปดู (เพราะหลังๆ เริ่มชิน) นั่นก็คือ “บ้านตัวอย่าง” ครับ

        ผมชื่นชมคนที่ออกแบบแต่งบ้านตัวอย่างให้ลูกค้ามาชมนะครับ เพราะเขาเก่งมากๆ ที่สามารถเนรมิตบ้านให้ออกมาสวยงามราวกับเราหลุดเข้าไปในแคตตาล็อกหรือแมกกาซีนบ้านสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นผนังติดวอลล์เปเปอร์ พรมขนสัตว์ที่พื้น เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัยที่จัดโทนสีมาอย่างดี ห้องนอนที่ออกแบบมาให้เป็นทั้งห้องนอนใหญ่ของคุณพ่อคุณแม่ ห้องลูกชาย ห้องลูกสาว สวนหน้าบ้าน ห้องรับแขกที่มีโฮมเธียเตอร์สุดล้ำ แอร์เย็นฉ่ำ ห้องครัวฝรั่งแบบบิลท์อิน

        ทั้งหมดที่ว่ามาล้วนแล้วแต่ทำให้จินตนาการของเราบรรเจิด คิดฝันไปไกลว่าถ้าได้ครอบครองบ้านของที่นี่ คงจะทำให้ชีวิตสุขสันต์ 

         แต่เปล่าเลยครับ ฝันทั้งหมดจะสลายไปเมื่อเราไปดูบ้านของจริงที่มีแต่บ้านโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีวอลล์เปเปอร์ ห้องครัวก็โล่งๆ ห้องนอนก็คือห้องสี่เหลี่ยมโล้นๆ สวนหน้าบ้านก็มีแค่หญ้า ถ้าอยากได้แบบบ้านตัวอย่างก็คงต้องเสียเงินตกแต่งอีกหลายแสน และเอาเข้าจริงแล้ว เวลาเราเข้าไปอยู่จริงๆ บ้านมันก็คงไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอก ราวตากผ้า กองของเล่นลูก เอกสารกองพะเนิน มันจะไปสวยอย่างแบบบ้านตัวอย่างได้อย่างไร
แต่ผมว่านี่แหละครับ มันต้องสวยบ้างไม่สวยบ้าง ถึงจะเป็นบ้านที่มีชีวิตชีวา

        ทั้งหมดที่เล่ามา มันทำให้ผมนึกไปถึงคำถามที่น้องในออฟฟิศคนหนึ่งถามผมขึ้นมา เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นผมและครอบครัวได้สัมภาษณ์และถ่ายรูปลงในนิตยสารครอบครัวเล่มหนึ่ง รูปที่ลงในนิตยสารนั้นดูแล้วเป็นครอบครัวที่มีความสุขมาก น้องมันก็เลยถามผมขึ้นมาว่า แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างในภาพหรือเปล่า 
        ผมก็ตอบไปว่า แหม มันก็มีสุข เศร้า เหงาและรัก สลับกันไป จะให้ยิ้มกันตลอดก็ท่าจะบ้าแล้ว
        โธ่ คนนะครับ ไม่ใช่บ้านตัวอย่าง จะได้สวยงามทุกโมงยาม

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เท่ากับกาแฟหนึ่งแก้ว


        ใช้บัตรเครดิตกันบ้างไหมครับ? เปล่าหรอกครับ ที่ถามไม่ใช่จะมาชวนคุณใช้บัตรเครดิตหรือจะมาขายบัตรเครดิตให้หรอกนะครับ แต่อยากจะถามว่าเคยได้รับซองบิลค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้วมีเอกสารสอดแทรกอยู่ในซองนั้นบ้างหรือเปล่า

        คือปกติแล้ว ผมก็ได้ไอ้เจ้าซองเรียกเก็บเงินนี้อยู่ทุกๆ เดือนนั่นล่ะครับ แต่ประมาณสองปีที่แล้วปรากฏว่าในซองนั้นมีเอกสารแปลกปลอมใส่มาด้วย มันคือเอกสารขอบริจาคช่วยเหลือเด็กยากจนไร้การศึกษาขององค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง 

        ในเอกสารนั้นระบุถึงเรื่องราวความยากลำบากของเด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลการศึกษาและความเจริญ เขาและเธอเหล่านั้นอาจไม่มีแม้กระทั่งอาหารกลางวัน รองเท้า ผ้าห่ม สมุด ดินสอ เหมือนอย่างที่คนเมืองอย่างคุณและผมมีกัน 

        จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยว่าเงินที่เราซื้อกาแฟวันละแก้วหรือประมาณ 20 บาทนั้น อาจสร้างอนาคตใครบางคนได้เลย เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันบริจาคเป็นประจำทุกเดือนด้วยการตัดผ่านบัตรเครดิตทุกๆ เดือน เท่านี้ก็จะสร้างอนาคตให้กับน้องๆ ได้มีข้าวกินได้มีการศึกษาได้

         ไม่มีปัญหาอะไร ผมเห็นด้วยว่าแต่ละวันที่เรากินนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวกาแฟ เดี๋ยวน้ำปั่น เดี๋ยวลูกชิ้น เงินจำนวนนี้เราจ่ายได้อย่างไม่คิดอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเราจะซื้อหากาแฟทุกวันเพิ่มอีกสักแก้วแล้วทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น อย่างนั้นผมว่าก็น่าสน และผมเองก็เห็นด้วยกับประโยคในบทบรรณาธิการของน้าทิวา สาระจูฑะ แห่งนิตยสารสีสันเมื่อนานมาแล้วว่า อย่าคิดแต่ว่ารอให้เรารวยก่อน แล้วค่อยคิดจะช่วยเหลือคนอื่น
        แล้วผมก็กรอกข้อมูลเอกสารพร้อมส่งกลับ แล้วก็ลืมมันไป

        จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมกับครอบครัวไปเดินเล่นที่ห้างแห่งหนึ่ง ระหว่างที่แฟนผมเดินนำไปก่อน เหลือผมกับลูกสาวที่เดินตามหลังมาห่างๆ ผมก็พบบูธๆ หนึ่งที่มีพนักงานยืนอยู่ประมาณ 3-4 คน คอยดักคนที่ผ่านไปมา ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว ผมโดนพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งขวางทางไว้ เธอถามผมว่าขอเวลานิดหนึ่งได้ไหม นี่ไม่ใช่การขายของ

        สิบห้านาทีหลังจากนั้นคือความอึดอัดทรมานสุดจะบรรยาย เพราะเธอเล่นพูดๆๆๆๆๆ พูดไม่หยุด เขื่อนข้อมูลทะลักทลายออกมาจนผมไม่มีโอกาสจะพูดแทรกอะไรเธอได้เลย เธอเริ่มด้วยการแนะนำตัวเอง บอกชื่อจริง ตามด้วยชื่อเล่น เธอบอกให้เรียกชื่อเล่นก็ได้นะคะ (ตีสนิททันที) เธอถามชื่อผม จากนั้นก็บอกว่าเธอมาจากองค์กรชื่อแปลกๆ อะไรสักอย่างที่มีหน้าที่ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนจากการทารุณกรรม เธอถามผมว่าเคยได้รายละเอียดขององค์กรนี้แนบไปกับบิลเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตไหม (ซึ่งแปลว่าเธอถามผมแบบอ้อมๆ ว่า มีบัตรเครดิตไหม)

        แล้วเธอก็บรรยายถึงความทรมานของสัตว์ที่ต้องโดนมนุษย์ทำร้ายหรือเป็นโรคร้ายขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพิการ โรงงานดีหมี ต่างๆ นานา รวมทั้งโชว์ภาพที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสัตว์ผู้ร่วมโลกเหล่านี้ควรจะได้รับความกรุณาจากผม

        นอกจากน้องผู้หญิงคนนี้แล้ว ก็ยังมีพนักงานผู้ชายอีกคนที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี เพราะเขาตรงเข้ามาหาลูกสาวผมแล้วดึงไปเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เพื่อไม่ให้รบกวนผม เรียกว่าทำงานเข้าขากันมาก

         เร็วกว่าความคิด น้องผู้หญิงคนนั้นเอาเอกสารมา แล้วบอกว่าอยากให้ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อน ด้วยเงินที่เราซื้อ "กาแฟหนึ่งแก้วต่อวัน" ก็ช่วยเหลือพวกเขาได้มากแล้ว พร้อมกันนั้นเธอก็เอาตัวอย่างคนที่บริจาคมาแล้วว่านี่ไง คนนั้นบริจาคหกร้อยต่อเดือน คนนี้บริจาคแปดร้อยต่อเดือน แล้วเธอก็ชี้แจงว่าโครงการนี้ไม่รับเงินสด รับแต่หักบัตรเครดิต และต้องบริจาคอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่รับบริจาคครั้งเดียว
         รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอเซ็นให้ตัดบัตรเครดิตไปแล้ว 
  
         ยอมรับครับว่าบุญกุศลในการทำบุญครั้งนี้คงไม่ได้เท่าไหร่ เพราะอึดอัดใจปนความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะเธอไม่ปล่อยให้ผมได้มีโอกาสคิดสักวินาทีเดียวว่าผมอยากบริจาคไหม มันเหมือนโดนมอมยาแล้วพาไปกดตู้เอทีเอ็ม คือรู้นะครับว่าองค์กรนี้คงมีอยู่จริง และเจตนาของน้องเขาก็คงจะดี แต่มันอยู่ที่ท่าทีครับ เพราะน้องเขาทำตัวสนิทเกินไป บีบคั้นเกิน (ถ้าภาษาวัยรุ่นต้องบอก สนิทเกิ๊นนนน บีบคั้นเกิ๊นนนน
         ไม่เป็นไร คิดว่าให้ "หมา" มันไปก็แล้วกัน

        ทุกวันนี้ผ่านมา 2-3 ปีแล้ว ผมก็ยังตัดบัตรเครดิตบริจาคให้ทั้ง 2 องค์กรนี้อยู่ 
        เปล่าหรอกครับ ผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่เป็นเพราะสองสาเหตุ คือ
        หนึ่ง ขี้เกียจไปยกเลิกให้วุ่นวาย
        สอง มันเหมือนเป็นเครื่องรางของขลัง เพราะหลังจากนั้นเวลาที่ผมเดินห้างแล้วต้องไปเจอกลุ่มรับบริจาคแบบนี้ ผมก็เดินผ่านได้สบายๆ เพราะผมมีคาถาป้องกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า
        "บริจาคแล้วครับ"
        

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เงิน เงิน เงิน


        แปลกดีนะครับที่เจ้ากระดาษพิมพ์ตัวเลขที่เราทุกคนจับต้องกันอยู่ทุกวันอันเรียกว่า “เงิน” นั้น กลับกลายเป็นเรื่องน่าเกลียดที่ใครสักคนจะพูดหรือเขียนถึงมันแบบตรงๆ ว่า "ชอบเงินจังเลย" เพราะหลายคนบอกว่าเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะมาพูดเรื่องนี้กันแบบโจ่งแจ้ง ขืนใครพูดมาก็จะถูกตีตราว่า "ไอ้หน้าเงิน"

        อย่างไรก็ตาม ศิลปินหลายๆ คนก็เคยพูดถึงเรื่องเงินอย่างโจ๋งครึ่มกันมาแล้ว ร่ายมาตั้งแต่รุ่นใหญ่อย่าง The Beatles และ Pink Floyd ที่มีเพลงชื่อว่า Money ตรงกัน รายของสี่เต่าทองนั้น เขาเขียนเนื้อไว้เจ็บแสบมากว่า "สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคืออิสระเสรีภาพ แต่ได้โปรดเอาไปให้นกบนฟ้าเถอะ เพราะตอนนี้ต้องการเงินมากกว่า จริงอยู่ที่เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่อะไรที่เงินซื้อไม่ได้ ตอนนี้ฉันไม่ต้องการ" 

        ส่วน Pink Floyd นั้นก็บอกไว้ว่า "เงินทองนั้นแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นค่าน้ำมัน รถใหม่ คาเวียร์ ทีมฟุตบอล แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นอาชญากรรมด้วย เพราะเป็นต้นตอของความเลวร้ายทั้งปวงในวันนี้"

        ข้ามฝั่งมาที่บ้านเรา เคยมีศิลปินอิสระที่ใช้ชื่อ ไทร อำนาจ ศิระวงษ์ธรรม พูดถึงเรื่องเงินไว้ในเพลง "คนที่ทำเหมือนเงินซื้อไม่ได้เอาใจยาก" เนื้อหาเสียดสีคนบางประเภทที่ช่วยเหลือเรา แต่เราไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรก็เลยเสนอเป็นเงินให้ไป แต่กลับโดนปฏิเสธ จนอึดอัดใจกันทั้งสองฝ่าย หรือจะเป็นวงอินดี้อย่าง The Richman Toy กับเพลง "กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม" ที่เล่าเรื่องของไอ้หนุ่มชนชั้นกลางคนนึงที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อยกระดับชีวิตให้เหมือนที่คนกรุงเขาเป็นกัน ก็เลยเป็นหนี้บานเบอะทั้งผ่อนคอนโด ไอโฟนและทีวีรุ่นใหม่เพื่อเอาใจคนรัก

        สรุปว่าเงินนั้นบ้างก็น่ารังเกียจ บ้างก็น่าพิสมัย บ้างก็สร้างความสุข บ้างก็สร้างปัญหา แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนว่าใครๆ ก็จะขาดเงินกันไม่ได้ทั้งนั้น

แต่น่าแปลกที่หลายๆ ครั้งผมมักจะได้ยินประโยคในทำนองที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” หรือ “สำหรับผมแล้ว เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังไงก็ได้” หรือ “เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้” โดยเฉพาะประโยคที่ว่าเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญนั้นผมได้ยินบ่อยมาก

ใครจะว่ายังไงไม่รู้นะครับ แต่สำหรับผมแล้ว เงินสำคัญมาก ส่วนที่บางคนพูดว่าเงินไม่สำคัญนั้น ผมสรุปเอาเองได้ว่า หนึ่ง คนคนนั้นรวยอยู่แล้ว มีเงินเหลือกินเหลือใช้ (และมักจะไม่ได้รวยด้วยตัวเอง จึงบอกว่าเงินไม่สำคัญ) สอง คนคนนั้นยังไม่เคยต้องรับผิดชอบชีวิตใคร และสาม คนคนนั้นพร้อมยินยอมที่จะอยู่อย่างจนๆ หรือแปลอีกอย่างว่าเขา "เกลียดความรวย" ครับ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าจะมีคนเกลียดความรวยอยู่ในโลกนี้จริงๆ แต่ผมนี่ล่ะครับที่เคยเกลียดความรวย เกลียดเงิน ผมเคยรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ถ้ามีเยอะไปก็จะดูไม่ดี ดูเอาเปรียบคนจน ทำไมคนอื่นๆ ลำบากอยู่ แล้วเรารวยอยู่คนเดียวได้ไง อะไรทำนองนี้

กว่าจะปรับความคิดใหม่ได้ ก็เล่นเอาผ่านไปสิบปี สาเหตุก็เพราะมาเจอกับความจริงของชีวิตในหลายๆ ข้อว่าเงินนั้นซื้อทุกอย่างไม่ได้ก็จริง แต่มันก็ซื้อหลายๆ อย่างที่จำเป็นกับชีวิตได้ไม่น้อย ยิ่งในวันที่คนที่เรารักเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หรือวันที่เราเจอวิกฤตบางอย่างของชีวิต ตอนนั้นเงินสำคัญจริงๆ ครับ

หลายๆ คนปล่อยปละละเลยกับชีวิตก็เพราะใช้ตรรกะผิดกับประโยคที่ว่า "เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต" "เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้" พอได้ฟังประโยคดังกล่าวก็เลยจัดแจงพลิกมันสุดขั้วไปเลยว่า อ๋อ เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดใช่ไหม ถ้างั้นก็ไม่ต้องหามากมายหรอก พอกินวันนี้เดือนนี้ก็พอ อ๋อ เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ใช่ไหม งั้นก็อย่าหามันเลย ไปเที่ยวเล่นเย็นๆ ใจดีกว่า 
การคิดแบบนี้ ถ้าคนที่เรียนตรรกศาสตร์มาจะเข้าใจในประโยคที่ว่า “ทฤษฎีบทกลับไม่เป็นจริง”

ผมชอบโฆษณาของบัตรเครดิตอยู่เจ้านึง คนเขียนก็อปปี้เขียนได้เท่มากๆ เขาออกมาหลายเวอร์ชั่นนะครับ แต่ผมจำรายละเอียดแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ เขาเขียนประมาณว่า 
ชุดลายดอกไม้: 7,000 บาท ความภูมิใจ: ประเมินค่าไม่ได้
ค่าตรวจสุขภาพประจำปี: 2,000 บาท สุขภาพทุกคนในครอบครัวดี: ประเมินค่าไม่ได้ 
แล้วเขาก็สรุปว่า บางสิ่งประเมินค่าไม่ได้ ที่เหลือคือ…(ชื่อของบัตรเครดิตเจ้านั้นครับ)

มันเจ๋งมากนะครับที่สินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจับจ่ายเงินล้วนๆ อย่างบัตรเครดิตกลับพูดว่าบางอย่างประเมินค่าเป็นตัวเลขไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่ามีเงินก็ซื้อไม่ได้
เอาเป็นว่าผมอยู่ฝั่งที่ว่า เงินเป็นสิ่งสำคัญและผมก็รักเงินครับ เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคนเราคงจะลำบากกว่านี้เยอะ
อย่างน้อยๆ ที่เราอ่าน blog เล่น FB อยู่นั้นก็เสียตังค์ค่าอินเทอร์เน็ต จริงมั้ยล่ะครับ?  

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คุณร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?

        คุณร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?
        ผมว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะลองนึกกันดีๆ เราซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คงไม่มีโอกาสได้ร้องไห้กันบ่อยๆ แบบเมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กน้อย

        เมื่อครั้งนั้น เอะอะอะไรเราก็ร้องไห้ หิวข้าวก็ร้องไห้ หกล้มก็ร้องไห้ จะเอาของเล่นก็ร้องไห้ ไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้ ไม่อยากตื่นก็ร้องไห้ เรียกว่าร้องไห้กันทุกวี่วัน วันละหลายครั้ง 
        แต่พอเราโต ครั้นจะไปร้องไห้พร่ำเพรื่อ ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ร้องไห้ต่อหน้าลูกเมีย ร้องไห้ต่อธารกำนัลรึก็คงจะไม่แมน

        บางครั้งผมก็สงสัยนะครับว่า ถ้าน้ำตาของเรามันไม่ได้ระบายออกเสียบ้าง มันจะจุกอยู่ข้างในจนบวมเป่งและไม่ดีต่อสุขภาพหรือเปล่า นิยายเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านถึงกับเปรียบเปรยได้ว่า ถ้าเอาน้ำตาของคนทั้งเมืองมารวมกันอาจจะได้ปริมาณเท่ากับน้ำในเขื่อน

        ผมร้องไห้ครั้งแรกเมื่อไหร่ อืม…ก็น่าจะตอนที่หมอดึงผมออกมาจากท้องแม่นะ จากนั้นร้องไห้ครั้งใหญ่ๆ ตอนไหนอีกเหรอครับ ผมพยายามนึกอยู่ แต่มีไม่เยอะจริงๆ ด้วยที่ผมจะได้ชิมรสน้ำตาที่ออกจะเค็มของผม 

        ถ้านึกแบบเร็วๆ เลยก็น่าจะเป็นตอนที่แม่บอกกับผมว่าให้ผมตั้งใจเรียนคณะวิศวะที่ผมทนเรียนมาได้ 2-3 ปีแล้วให้มันจบได้ไหม แต่ผมเงียบ ไม่รับปาก แม่ผมร้องไห้ออกมา ผมก็เลยร้องไห้ตาม แล้วบอกว่าถ้าผมรับปาก ผมต้องทำให้ได้ แต่ผมไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่กล้ารับปาก ว่าแล้วเราสองแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้

        แต่สุดท้ายผมก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้นะครับ ผมเรียนจนจบ แต่ไม่ได้ทำงานด้านนั้น หันมาเอาดีด้านศิลปะอย่างการแต่งเพลงและทำหนังสืออย่างในทุกวันนี้

        เหตุการณ์ร้องไห้ครั้งใหญ่ขนาดนั้น ผมแทบจะนึกไม่ออกว่ามีครั้งไหนอีกเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะครับ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของความซาบซึ้งประทับใจในผลงานศิลปะมากกว่า 

        ผมเองเคยคุยกับพี่แว่น จักราวุธ แสวงผล ที่เป็นคนสอนผมแต่งเพลง แกบอกว่ามนุษย์อย่างเราๆ อันหมายถึงคนทำงานศิลปะ จะมีความอ่อนไหวกว่าคนทั่วไป ประมาณว่าเห็นใบไม้ร่วงก็อาจน้ำตาหล่นได้ เพราะฉะนั้นหลายๆ ครั้งที่ผมดูหนังหรือฟังเพลงจึงมักจะเสียน้ำตาให้มันอยู่บ่อยๆ

        อย่างล่าสุด เมื่อปีที่แล้วผมดูมิวสิควิดีโอเพลง "จดหมายถึงเธอ" ของ BoydNop แล้วถึงกับน้ำตาไหลกลางออฟฟิศ ตัวเพลงนั้นดีได้มาตรฐาน บอย โกสิยพงษ์ อยู่แล้ว 
         แต่ภาพสิครับ ทั้งเรื่องมีนักแสดงเพียงท่านเดียวคือ ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ แกไม่ได้เล่นอะไรมากมายเลย ได้แต่นั่งมองดูนั่นนี่ไปเรื่อย แต่เหมือนแกยังเห็นภาพของสามีแก ลุงปุ๊ย สมชาย สามิภักดิ์ อยู่ 
         ฉากที่ป้าจุ๊แกเห็นภาพลุงปุ๊ยเสมือนอยู่ตรงหน้าแล้วเดินไปคว้าเพื่อที่จะพบว่ามีแต่ความว่างเปล่านั้น ทำเอาผมต่อมน้ำตาแตก (ยิ่งวันนี้ป้าจุ๊จากไปแล้วอีกคน เอ็มวีเพลงนี้เลยโดนใจเข้าไปอีกสองเด้ง)

        นั่นคือการร้องไห้ครั้งล่าสุดของผมครับ แต่ไม่ใช่ครั้งที่ผมประทับใจที่สุดเท่ากับครั้งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้

        เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผมกลับมาจากงาน ผมนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพราะทุกคนในบ้านกินหมดแล้ว จู่ๆ ลูกสาวคนโตก็เดินมาถามผมว่า “ป๊าเหนื่อยไหมคะ? กับข้าวอร่อยมั้ยคะ?” 
        เท่านั้นล่ะครับ หมดทางจะไป ไหลเลย

        ไม่รู้ว่าอาหารมื้อนั้นมันเค็มเพราะแฟนผมทำเค็มไปหน่อยหรือมันเค็มเพราะน้ำตาแห่งความตื้นตันใจกันแน่ แต่นั่นล่ะครับการร้องไห้ครั้งที่น่าประทับใจที่สุดของผม
        แล้วคุณล่ะครับ ร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่? และเรื่องอะไร?

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เราเกิดมาเพื่ออะไร?


        เผลอแป๊บเดียวก็ครบรอบ 1 ปีที่ภรรยาผมเข้ารับการผ่าตัด แต่ผมยังจำได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

        เราไม่ได้เตรียมตัวกันมาก่อนว่าจะต้องนอนโรงพยาบาล เพราะทีแรกดูเหมือนว่าเธอจะแค่ปวดท้องโรคกระเพาะ เพราะคืนก่อนหน้านั้นเราขับรถกลับจากต่างจังหวัด รถติดมาก ทำให้ต้องกินข้าวมื้อค่ำดึกกว่าปรกติ

        แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด เมื่อถึงโรงพยาบาล ภรรยาผมปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนออกมา หนักเข้าก็รู้สึกใจสั่น กระสับกระส่าย บ่นตลอดว่าหายใจไม่ทัน พยาบาลวัดชีพจรดูก็พบว่าหัวใจเต้นถี่ถึง 150 ครั้งต่อนาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่าหัวใจของคนที่เพิ่งออกกำลังกายมาด้วยซ้ำ

        เธอนอนลงไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก แม้แต่จะนั่งก็ยังยาก ผมต้องประคองเธอไว้ขณะยืน เพราะไม่มั่นใจว่าจะเป็นล้มไปเมื่อไหร่ บางประโยคขณะนั้นเธอบอกกับผมว่า...เหมือนจะตาย

        สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากตรวจนู่นนั่นนี่มากมาย ทั้งเอ็กซเรย์ ทั้งให้ยาหลายขนาน ก็พบว่าเธอน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ พอผ่าเสร็จอาการทั้งหมดก็หายไป เรียกว่าเปิดตัวยิ่งใหญ่ แต่จบลงที่ไม่เป็นอะไรมาก เล่นเอาคนที่เป็นห่วงถอนหายใจไปตามๆ กัน

        ผมย้อนนึกถึงประโยคที่เธอพูดว่า...เหมือนจะตาย แล้วก็นึกถึงประโยคของเพลงฮิตเพลงหนึ่งที่ร้องว่า "ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน" แล้วก็คิดไปต่อว่า ถ้าตอนนั้นเธอตายไปจริงๆ ผมจะทำอย่างไร? ผมยังมีความรู้สึกมากมายที่ยังไม่ได้บอกเธอ

        ผมฟุ้งซ่านไปเรื่อยว่าทำไมชีวิตของมนุษย์เรามันช่างเปราะบางเหลือเกิน เห็นๆ กันอยู่เมื่อนาทีที่แล้ว ใครจะรู้ว่าในอีกนาทีถัดไป ก็อาจจะไม่ได้เห็นกันแล้ว เรื่องแบบนี้มีให้เห็นตัวอย่างถมไป

        จำได้เลยว่าวันนั้นผมนึกถึงภาพข่าวการร่ำไห้ของแม่ทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกลอยเข้ามาในความคิดผม แม่ผู้สูงอายุบอกกับนักข่าวว่า ไม่คิดว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พบพูดคุยกับลูกชาย

        "การพลัดพรากจากสิ่งที่รักมักเป็นทุกข์" คำสอนของศาสนาท่านว่าไว้อย่างนั้นมานับพันปีแล้ว แต่ก็ดูเหมือนมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความจริงข้อนี้ไปได้เสียที หนำซ้ำยังหาสิ่งที่รักมายึดมั่นถือมั่นกันให้พะรุงพะรังอีก

        คำถามที่ว่า "เราเกิดมาเพื่ออะไร?" เป็นคำถามที่น่าสนใจมากๆ สำหรับผม สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงวัยกำลังค้นหาตัวเอง ผมเจอหนึ่งคำตอบของคำถามนี้ นับว่าน่าสนใจมาก เป็นคำตอบของไอน์สไตน์ เขาตอบว่า "เราเกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น เกิดมาเพื่อเป็นที่รักของผู้อื่น" คำตอบนี้ดูเป็นอะไรที่เพื่อมวลชนและเป็นคนดีมาก แต่ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยในวันนี้ ผิดกับในวันนั้นที่รู้สึกค้านในใจว่าทำไมต้องเกิดมาเพื่อคนอื่นด้วย

        ไม่นานมานี้ผมไปเจออีกหนึ่งคำตอบที่น่าสนใจ เขาตอบว่า "เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก" คำตอบนี้ดูเข้าใจง่าย เข้าถึงง่ายกว่าคำตอบที่แล้ว และดูเป็นปัจเจก ไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่าคำตอบของไอน์สไตน์ แต่ก็โดนใจผมไม่น้อย

        เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก (และรักเรา) สำหรับผมคำนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะยิ่งยืนยันความคิดของผมที่ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานหนักแล้วก็ตายจากไป เพราะที่สุดแล้วเราก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัว ดูแลพ่อแม่ เล่นกับลูก พูดคุยกับคนรัก

        เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ และในทางกลับกันเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ไปได้นานแค่ไหน ในเมื่อชีวิตมันเปราะบางเช่นนี้

        เหมือนที่ใครบางคนเคยพูดให้ผมได้ยินว่า เขาไม่มีวันจะออกจากบ้าน ถ้ายังทะเลาะกับคนที่บ้านค้างอยู่ เพราะเขาไม่อาจรู้ว่าเมื่อออกไปแล้ว จะได้กลับมาปรับความเข้าใจกันอีกหรือเปล่า

        มีเรื่องขำขื่นเรื่องหนึ่งเล่าว่า แม่ผู้แก่เฒ่าท่านหนึ่งโทรหาลูกสาวว่า "หนูไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งนาน ไม่กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้างเลยเหรอ" ลูกสาวตอบว่า "โอ๊ย ไม่มีเวลาหรอกแม่ งานยุ่งจะตาย" แม่ก็เลยบอกว่า "จ้ะ ไม่เป็นไรลูก งั้นส่งเงินมาที่บ้านบ้างนะลูก แม่จะเอาไปซื้อหยูกยา ปวดเข่าเหลือเกิน" แต่ลูกสาวกลับตอบมาว่า "โอ๊ย แม่ เงินอะไรล่ะ ใช้เองตัวคนเดียว เดือนชนเดือนยังจะไม่รอดอยู่แล้ว
        เรื่องนี้ก็เลยสรุปว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีทั้งเงินและไม่มีทั้งเวลา ฟังดูเหลือเชื่อ จะบ้าเหรอ เป็นไปได้ไง แต่คนส่วนใหญ่ของสังคมทุกวันนี้ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีเวลาให้คนที่เรารัก...และก็ไม่มีเงิน

        ผมนึกถึงภาพโฆษณาประกันชีวิตเจ้านึงที่เป็นเรื่องราวของพ่อใบ้กับลูกสาวที่เกลียดพ่อ ผมร้องไห้ทุกครั้งที่ดูโฆษณาตัวนี้ เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นใบ้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้มันแสดงให้เห็นว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักจริงๆ 
        ผิดแต่ว่ากว่าลูกจะรู้ว่าพ่อรักลูกขนาดไหนก็ต้องผ่านพ้นวิกฤตมาก่อน

        สุภาษิตจีนที่ว่า "เนื้อมังกรหน้าหลุมศพพ่อแม่ มีค่าน้อยกว่าข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วยตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บอกเล่าสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
        ลองถามตัวเองดูนะครับว่าวันนี้เราได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักหรือยัง 
        ถ้ายังก็ด่วนเลยครับ
        ใครจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของวันที่เหลืออยู่ของคุณ