วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หนังสือรุ่น


        หลายวันก่อนผมมีโอกาสได้กลับไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นประถม มาห่างกันไปตอนชั้นมัธยม เพราะถึงจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ก็อยู่คนละห้อง จากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกกันไปแบบถาวร เรียกว่าแทบไม่ได้เจอหน้าเจอตากันอีกเลย

        เพื่อนผมคนนี้ ตอนเด็กๆ มันตัวไม่สูงมาก การเรียนก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง แต่พอเวลาผ่านไป 20 กว่าปี ตอนนี้ตัวมันใหญ่กว่าผมมาก หน้าที่การงานก็ใหญ่โตเพราะเป็นเจ้าของกิจการ มีออฟฟิศระดับสิบกว่าล้านอยู่กลางเมือง

        เรานั่งคุยกันถึงอดีต นั่งคุยถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้ บ้างก็ไปได้สวย บ้างก็ไปได้เสีย บางคนชีวิตก็พลิกผันจนไม่น่าเชื่อ คนนึงตอนเด็กๆ เคยเป็นเด็กผู้หญิงท่าทางขี้อาย ดูซอมซ่อ แต่ตอนนี้เป็นคุณหมอมาดมั่นและกำลังตั้งท้องอยู่ อีกคนนึงไปร่ำเรียนจนจบปริญญาโทจากอเมริกา แต่ตอนนี้กลับมาช่วยที่บ้านขายของ อีกคนนึงอดีตเคยเป็นนักซิ่งบิดมอเตอร์ไซค์ป่วนเมือง (สมัยนั้นต้องฮอนด้าโนวาเท่านั้นครับ) ปัจจุบันจบเศรษฐศาสตร์และกลายมาเป็นนักธุรกิจใหญ่ หรืออีกคนนึงที่ธรรมะธรรมโมตั้งแต่สมัยเรียน ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปแล้วหลายปี

        ยิ่งคุยก็เหมือนอดีตจะยิ่งไม่มีวันหมด ผมกับเพื่อนนั่งขุดความทรงจำกันอยู่เป็นชั่วโมงๆ อย่างออกรสชาติ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนผมมันจะจำชื่อจริงนามสกุลจริงของเพื่อนทุกคนได้ ที่สนุกก็คือเราสองคนต่างก็จำพื้นที่ทุกตารางนิ้วของโรงเรียนสมัยประถมได้เป็นอย่างดี 

        ตรงนั้นไงที่ครูสั่งให้ปลูกข้าวโพด มันอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งเหม็นมาก ตรงนี้ไงที่มีต้นหูกวางที่เราพยายามเอาก้อนหินมาทุบๆๆๆ เพื่อจะกินเมล็ดของมัน แล้วก็ตรงโน้นไงที่กำแพงมีภาพวาดรูปปลาฉลามกัดขาคนจนเลือดออก ตอนนั้นเราไม่กล้าเดินผ่านไปตรงนั้นเลยว่ะ นายจำได้ใช่มั้ย

        สำหรับเพื่อน ไม่ว่าจะห่างกันไปนานแค่ไหน แต่พอเอาธัมท์ไดรฟ์ที่มีข้อมูลอดีตอยู่ในนั้นมาเชื่อมกัน เท่านั้นก็ต่อติดทันที

        ผมเคยได้ยินประโยคคมๆ ประโยคนึงจากเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท เขาบอกไว้ว่า "ตอนเรียนอยู่ ไม่ว่าใครจะมาที่ไหน ยากดีมีจนเท่าไหร่ ก็ดูจะไม่ต่างกันมาก แต่พอเรียนจบแล้ว ความสามารถในการสร้างชีวิตที่แตกต่างกัน จะทำให้ชีวิตของแต่ละคนต่างกันไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งๆ ที่ตอนเรียนอาจจะนั่งเรียนโต๊ะติดกัน กินข้าวจานละ 15 บาทเหมือนกัน"

        ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้แบบเต็มๆ เลยครับ เพราะเพื่อนๆ ปริญญาสมัยที่ผมเรียนนั้นมีกันอยู่ 7 คน แต่ละคนกระจัดกระจายกันไปคนละทาง คนนึงหน้าที่การงานใหญ่โตไปเป็นผู้จัดการห้างดังอยู่ที่ภูเก็ต คนนึงเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดย่อม คนนึงรับราชการ คนนึงเป็นอาจารย์ คนนึงไม่มีใครรู้ข่าวคราวอีกเลย ส่วนผมก็มาทำงานที่ไม่ตรงกับที่เรียนมา

        ส่วนเจ้าของประโยคคมๆ ประโยคนั้น ปัจจุบันเป็นถึงเจ้าอสังหาริมทรัพย์มูลค่าเกือบร้อยล้าน และทุกวันนี้กำลังหันไปจับธุรกิจนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน

        ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า คงจะดีถ้าเราย้อนเวลากลับไปหาตัวเองเมื่อตอนเด็กๆ ได้ แล้วเดินเข้าไปบอกว่าอนาคตนายจะโตขึ้นไปเป็นแบบนี้นะ ทำตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ หรือกลับไปบอกว่าคนคนนี้จะกลายมาเป็นภรรยาของนายในอนาคตนะ ดูแลเธอให้ดีๆ (หมายเหตุ: นี่คือเรื่องจริง เพราะผมกับภรรยาคือเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถมครับ)

        สมัยเด็กๆ เรานึกไม่ออกเลยครับว่าอะไรที่รอเราอยู่ข้างหน้า สิ่งที่วันนี้มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ ณ วันนั้นมันคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ผมล่ะอยากจะกลับไปดูใบหน้าของผมกับเพื่อนๆ สมัยประถมจริงๆ อยากจะรู้ว่าตอนนั้นพวกเราหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง

        สงสัยวันหยุดคงต้องหาเวลากลับไปโรงเรียนเก่า ไปขอครูดูหนังสือรุ่นที่ทุกวันนี้ยังเก็บไว้ที่โรงเรียนอยู่เลย

        ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็แค่อยากรู้ว่าตอนถ่ายรูป ผมกับภรรยานั่งติดกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง :)      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น