วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผมยังไม่เคยตาย



ตั้งหัวเรื่องไว้แบบนี้ ก็เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าผมเคยนึกขำกับประวัติสมัครงานของรุ่นพี่คนนึงที่ผมเคยอ่าน เขาเป็นพวกโลดโผนโจนทยาน มีประสบการณ์ชีวิตขรุขระมามากมาย เป็นมาแล้วหลายอย่าง ทำมาแล้วหลายอาชีพ แต่ที่ผมชอบที่สุดก็ตรงที่เขาเขียนปิดท้ายรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาเองว่า "เคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยตาย"

อ่านแล้วก็ฮากลิ้งจริงๆ เพราะ "เรื่องความตาย" นี่มันไม่ใช่ของที่จะมาบอกว่า "เคย" ได้ คนเราตายกันแค่ครั้งเดียว (ยกเว้นก็แต่พวกที่บอกว่าเหมือนจะตายไปแล้ว แต่สามารถฟื้นกลับมาใหม่ได้ ซึ่งแบบนี้ก็พิสูจน์กันยาก)

เรื่องของความตายนี่เป็นเรื่องแปลกนะครับ ทุกคนกลัวตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนึงเราก็ต้องตายแน่ๆ แล้วทำไมเราถึงต้องกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ ที่ตลกร้ายก็คือ ผมก็เห็นหลายคนมีชีวิตอยู่ไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่ แล้วจะกลัวตายไปทำไม?

พูดถึง "ความตาย" สิ่งที่มาคู่กันก็คือ "ผี" นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องกลัวผี ทั้งที่วันนึงเราก็ต้องเป็นผีแน่ๆ (บนสมมติฐานว่าถ้าผีมีอยู่จริงนะครับ) แต่ที่งงสุดๆ ก็คือ ทำไมคนกลัวผีถึงชอบดูหนังผี ฟังเรื่องผี ดูคลิปผี? หรือบางทีมันอาจจะเป็นความอยากรู้ของคนที่สงสัยว่าโลกหลังความตายมันมีอะไรรอเราอยู่

แต่ความตายก็มีประโยชน์ของมัน หลายครั้งที่คนที่ผมรู้จักตาย มันก็เหมือนมีอะไรมาเคาะกระโหลกผมแรงๆ ว่า เฮ้ย! วันนึงเอ็งก็ต้องตายเหมือนกันนะเว้ย

เดือนที่แล้ว น้องที่ผมเคยทำงานด้วยอยู่ช่วงนึงประสบอุบัติเหตุ เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตอนตีห้า ไม่แน่ใจว่าเพิ่งออกจากบ้านหรือเพิ่งกลับบ้าน ระหว่างทาง รถยนต์คันนึงที่จอดอยู่ข้างทางเปิดประตูออกมาพอดี รุ่นน้องผมชนเข้าอย่างจัง ล้มลงหัวฟาดพื้น เลือดคั่งในสมอง และเสียชีวิตในเย็นวันนั้นเอง

พอรู้ข่าว แว่บแรกผมก็ตกใจ เพราะเมื่อหลายวันที่แล้ว ชื่อของเขาเพิ่งเด้งขึ้นมาในโปรแกรม LINE บนมือถือของผม หลังจากไม่ได้คุยกันมาหลายเดือนมาก เพราะเรามีปัญหาเรื่องงานกัน ผมรีเจ็คท์งานของเขา เขารับฟังแต่ลึกๆ ผมคิดว่าเขาน่าจะไม่พอใจ

คืนวันนั้นผมยังเสียวสันหลังวาบว่าถ้าเสียงโปรแกรม LINE ที่เป็นชื่อของน้องคนนี้ดังขึ้นจะหลอนขนาดไหน?

บางทีโลกออนไลน์มันก็ทำให้เราเชื่อมกันหลายทางเกินไป หลายคนตายไปแล้ว แต่ตัวตนบนโลกโซเชี่ยลมีเดียยังคงอยู่ เหมือนเช่นที่ทุกวันนี้ พี่เจี๊ยบ วรรธนา ยังคงโพสต์ข้อความ รูป และเสียงเพลงลงใน facebook ของพี่กบ นิมิตร สามีเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว

หลายสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่รุ่นน้องคนนั้นจากไป น้องชายของแม่บ้านที่ออฟฟิศผมก็เสียชีวิตด้วยโรคตับแข็ง เธอลาหยุดไปทั้งอาทิตย์เพื่อจัดการกับเรื่องน้องชาย หลังจากแม่บ้านกลับมาทำงานปกติ ผมมีโอกาสได้พูดคุยสารทุกข์สุกดิบ ถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น อันที่จริงสารภาพด้วยซ้ำว่าบางทีผมก็ชอบพูดคุยเรื่องความตาย

แม่บ้านเล่าให้ผมฟังว่า เธอเพิ่งจะกินข้าวลงวันนี้ หลังจากวุ่นวายมาทั้งสัปดาห์ ตั้งแต่ไปเฝ้าน้องชายที่โรงพยาบาลด้วยอารมณ์ที่รู้แน่ๆ แล้วว่าไม่มีหวังจะได้น้องกลับคืนมา รอแต่เพียงว่าเมื่อไหร่เท่านั้น

พอน้องชายเธอจากไป มันก็ไม่ใช่จะง่ายๆ เหมือนในหนังที่ปุ๊บปั๊บก็ตัดฉากไปที่งานศพทันที แต่ระหว่างโรงพยาบาลกับงานศพนั้นมีมีความวุ่นวายอยู่ในนั้น ตั้งแต่หาวัดที่จะจัดงาน (ซึ่งแม่บ้านบอกว่าแพงมาก ต้องหาวัดที่พอจะจ่ายได้ ซึ่งก็วันละหลายพัน) ต้องฝากศพไว้กับโรงพยาบาล (มีค่าใช้จ่ายต่อวัน) พอหาวัดได้แล้วก็ต้องติดต่อเรื่องของโลงศพ (แค่โลงธรรมดาๆ ก็ราคาเกือบหมื่น)

ไหนยังจะต้องนิมนต์พระมาทำพิธีตัดญาติที่โรงพยาบาล (หมายถึงตัดความสัมพันธ์กับคนเป็นและคนตายว่าต่อจากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป) ระหว่างทางที่นำศพไปวัด ก็ต้องมีการโปรยเหรียญ พร้อมกับพูดกับดวงวิญญาณว่าให้ตามมาที่วัด อย่าได้หลงทาง

แม่บ้านยืนยันกับผมอย่างมั่นใจว่า "ผี" มีจริงแน่นอน (ถ้ามันหมายถึงดวงวิญญาณของคนตาย) เพราะเธอได้ "กลิ่น" น้องชายตอนที่กำลังล้างจานอยู่ในงานศพวันแรก ที่เธอบอกให้วิญญาณน้องชายตามเธอมาที่วัด และไม่ใช่เธอได้กลิ่นคนเดียว แต่ลูกสาวเธอก็ได้กลิ่นด้วย มันเป็นกลิ่นของน้องชายตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ใช่กลิ่นเน่าเฟะแบบในหนังผี

ผมชอบประโยคปิดท้ายที่แม่บ้านบอกจังเลยครับว่า "เป็นคนตาย ง่ายกว่าคนเป็น"
เห็นด้วยตามนั้นทุกประการเลยครับ (แต่ก็ยังกลัวผีอยู่ดีครับ)

1 ความคิดเห็น:

  1. ก่อนจะถามเรื่องตาย
    ผมมีคำถามว่า จะอยู่ไปเพื่อ"อะไร"

    ตอบลบ