วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนที่เราลืมรัก


        น้ำตาหยดนั้นของคุณยายวัย 90 ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก มันเตือนให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเคยลืมไปแล้ว
        
        ถ้าคุณไม่เคยเห็นน้ำตาคนแก่ คุณคงนึกได้ยากว่ามันน่าเศร้าแค่ไหน คิดดูสิครับ คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานขนาดนั้น จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้ร้องไห้ได้
        
        ผมนั่งลงคุยกับคุณยายท่านนี้ เราเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน แต่คงจะเป็นเพราะคุณยายแกอยู่คนเดียวมานาน ไม่ค่อยจะมีคนคุยด้วย เนื่องจากลูกหลานเอามาปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวในบ้านหลังย่อมๆ พอเจอคนแปลกหน้าอย่างผมมาคุยด้วย แกก็เลยดีใจอย่างเห็นได้ชัด

        คุณยายในวัยเกือบร้อยยังแข็งแรงดีอยู่ เดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า แต่ก็ต้องพยุงกันบ้าง มือผมสัมผัสแขนคุณยาย ลำแขนนั้นเหี่ยวย่น คล้ายผ่านกาลเวลามาแสนนาน 

        ผมพยุงแกลงนั่ง เราเริ่มบทสนทนากัน แกออกตัวก่อนว่าค่อนข้างจะหลงๆ ลืมๆ พูดผิดๆ ถูกๆ ก็อย่าว่ากัน แต่เท่าที่คุยกัน ผมว่าในวัยขนาดนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเราไม่ต้องตะโกนคุยกัน จะมีก็แค่ตอนที่แกพยายามนึกว่าห้างเซ็นทรัลที่แกเพิ่งไปมามันเรียกว่าห้างอะไร

        เสียงคุณยายเล่าเรื่องความหลังอย่างออกรส ปูนนี้แล้ว คงไม่มีเรื่องของอนาคตมาบอกเล่าให้ใครฟัง ผมสงสัยอยู่ในใจว่าคนอายุขนาดนี้แบกอดีตไว้หนักเท่าไหร่กันนะ 

        คุณยายลุกขึ้นไปหยิบรูปภาพสมัยสาวๆ มาให้ผมดู ตอนนั้นแกน่าจะวัยสัก 17 แกบอกว่าถ่ายสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

        เล่าไปเล่ามา คุณยายบอกกับผมว่าถ้าลูกรู้ว่าแกคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้ คงจะโดนด่าแน่ๆ แกบอกว่าลูกชอบด่าแกแรงๆ ว่าไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วยังชอบเล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นฟังอีก

นาทีนั้นเองที่น้ำตาหยดนั้นไหลลงอาบแก้มเหี่ยวๆ ของคุณยาย 

ผมบรรยายความรู้สึกตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน รู้อย่างเดียวว่าสงสัยแอร์ในห้องที่เรานั่งอยู่คงจะเสีย เพราะดูอุณหภูมิจะร้อนขึ้น ผมแอบแหงนหน้ามองเพดาน ไม่อยากให้น้ำตาหยดนั้นของผมไหลออกมา

คุณยายคนนี้ทำให้ผมนึกถึงคุณยายที่ผมรู้จักอีกคน แกป่วยมานานถึง 10 ปี และเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วแกก็จากไปอย่างสงบ (พร้อมกับให้หวยตามเลขอายุ เล่นเอาคนมางานศพรวยไปตามๆ กัน

ลูกสาวคนเดียวของแกที่คอยดูแลมาตลอด หมดเงินค่ารักษาไปก็หลายล้าน วันนี้เหมือนทำตัวไม่ถูก ต้องมาวานให้แม่ผมไปช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพ ผมจำได้ว่าวันที่คุณยายคนนี้ยังแข็งแรงดีอยู่ ดูแกกับลูกสาวจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไม่น้อย เสียงทะเลาะกันปลิวมาเข้าหูที่บ้านผมอยู่บ่อยๆ

แต่วันนั้นในงานศพ วันที่ลูกสาวรดน้ำลงบนมือแม่ที่ไร้เลือดฝาด พร่ำบอกถึงความรักความคิดถึงที่มีต่อแม่ ผมไม่รู้ว่าเสียงนี้จะดังไปถึงบนฟ้าหรือเปล่า?

ขอโทษครับ ขอพักเช็ดน้ำตาก่อน พิมพ์ต่อไม่ไหวแล้วครับ

....
...
..

ผมนึกถึงอีกเหตุการณ์นึง รุ่นน้องที่ผมรู้จักเล่าให้ฟังว่า น้องสาวเธอกับแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ ส่วนใหญ่ไม่มีเรื่องราวอะไรใหญ่โต ก็แค่แม่ขี้บ่นกับลูกสาวขี้รำคาญ แต่ดูเหมือนสองสามวันที่ผ่านมาเรื่องราวจะบานปลาย น้องสาวทนเสียงบ่นไม่ไหว ตัดสินใจเก็บกระเป๋าจะออกจากบ้านจะย้ายไปอยู่คนเดียว 

รุ่นน้องผมบอกว่าน้องสาวโกรธมาก ตะโกนออกมาลั่นบ้านว่าเกลียดแม่ เกลียดแม่! เกลียดแม่!! เกลียด เกลียด เกลียด!!! ชีวิตอย่าได้มาเจอกันอีกเลย รำคาญ

ร้อนถึงพ่อกับรุ่นน้องผมที่ต้องไปคอยห้ามปรามให้อารมณ์เย็นลง แต่น้องสาวคนนั้นกลับบอกว่าต้องให้แม่มาขอโทษ ถึงจะยอมไม่ออกจากบ้าน 

สุดท้ายเพื่อไม่ให้เรื่องไปกันใหญ่ แม่-ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกมานับสิบๆ ปี กลับต้องมาขอโทษลูกสาว เพื่อไม่ให้ลูกสาวจากไป

คิดแล้วก็เศร้านะครับ ทำไมเรา-ผมหมายถึงใครหลายๆ คน (ซึ่งรวมถึงตัวผมด้วยที่ก็มีบ้างที่เคยทำให้แม่ต้องเสียใจจนมีน้ำตา) ถึงได้ทำกับผู้หญิงเจ้าของเลือดที่กลั่นเป็นน้ำนมให้เราดื่มกินได้ขนาดนั้น

ผมไม่เคยเข้าใจประโยคที่ว่า “วันที่ลูกเกิดมาคือวันที่ความฝันของพ่อแม่ต้องจบลง” จนกระทั่งวันที่ผมเป็นพ่อคน ผมถึงเข้าใจว่าพ่อแม่ล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อเราเหล่าลูกๆ ทุกคน 

คุณเคยถามท่านไหมครับว่าความฝันของพ่อแม่คืออะไร บางทีท่านอาจจะลืมไปแล้ว และคงได้แต่ตอบมาว่าฝันของพ่อแม่ก็คืออยากให้ลูกทุกคนสุขสบาย

ในขณะที่หนุ่มสาวทุกคนวุ่นวายกับเทศกาลเฉลิมฉลองในเดือนนี้ ชุลมุนในการคิดว่าจะไปเที่ยวไหนกับคนรักดีที่อากาศหนาวๆ จะได้กอดกันให้อุ่นจนผ้าห่มอิจฉา

พอจะมีเหลือกอดสักกอดไปฝากผู้หญิงคนนั้น คนที่วันๆ งกๆ เงิ่นๆ อยู่หน้าเตาที่ครัวหลังบ้านบ้างไหมครับ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น