วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เท่ากับกาแฟหนึ่งแก้ว


        ใช้บัตรเครดิตกันบ้างไหมครับ? เปล่าหรอกครับ ที่ถามไม่ใช่จะมาชวนคุณใช้บัตรเครดิตหรือจะมาขายบัตรเครดิตให้หรอกนะครับ แต่อยากจะถามว่าเคยได้รับซองบิลค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้วมีเอกสารสอดแทรกอยู่ในซองนั้นบ้างหรือเปล่า

        คือปกติแล้ว ผมก็ได้ไอ้เจ้าซองเรียกเก็บเงินนี้อยู่ทุกๆ เดือนนั่นล่ะครับ แต่ประมาณสองปีที่แล้วปรากฏว่าในซองนั้นมีเอกสารแปลกปลอมใส่มาด้วย มันคือเอกสารขอบริจาคช่วยเหลือเด็กยากจนไร้การศึกษาขององค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง 

        ในเอกสารนั้นระบุถึงเรื่องราวความยากลำบากของเด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลการศึกษาและความเจริญ เขาและเธอเหล่านั้นอาจไม่มีแม้กระทั่งอาหารกลางวัน รองเท้า ผ้าห่ม สมุด ดินสอ เหมือนอย่างที่คนเมืองอย่างคุณและผมมีกัน 

        จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยว่าเงินที่เราซื้อกาแฟวันละแก้วหรือประมาณ 20 บาทนั้น อาจสร้างอนาคตใครบางคนได้เลย เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันบริจาคเป็นประจำทุกเดือนด้วยการตัดผ่านบัตรเครดิตทุกๆ เดือน เท่านี้ก็จะสร้างอนาคตให้กับน้องๆ ได้มีข้าวกินได้มีการศึกษาได้

         ไม่มีปัญหาอะไร ผมเห็นด้วยว่าแต่ละวันที่เรากินนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวกาแฟ เดี๋ยวน้ำปั่น เดี๋ยวลูกชิ้น เงินจำนวนนี้เราจ่ายได้อย่างไม่คิดอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเราจะซื้อหากาแฟทุกวันเพิ่มอีกสักแก้วแล้วทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น อย่างนั้นผมว่าก็น่าสน และผมเองก็เห็นด้วยกับประโยคในบทบรรณาธิการของน้าทิวา สาระจูฑะ แห่งนิตยสารสีสันเมื่อนานมาแล้วว่า อย่าคิดแต่ว่ารอให้เรารวยก่อน แล้วค่อยคิดจะช่วยเหลือคนอื่น
        แล้วผมก็กรอกข้อมูลเอกสารพร้อมส่งกลับ แล้วก็ลืมมันไป

        จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมกับครอบครัวไปเดินเล่นที่ห้างแห่งหนึ่ง ระหว่างที่แฟนผมเดินนำไปก่อน เหลือผมกับลูกสาวที่เดินตามหลังมาห่างๆ ผมก็พบบูธๆ หนึ่งที่มีพนักงานยืนอยู่ประมาณ 3-4 คน คอยดักคนที่ผ่านไปมา ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว ผมโดนพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งขวางทางไว้ เธอถามผมว่าขอเวลานิดหนึ่งได้ไหม นี่ไม่ใช่การขายของ

        สิบห้านาทีหลังจากนั้นคือความอึดอัดทรมานสุดจะบรรยาย เพราะเธอเล่นพูดๆๆๆๆๆ พูดไม่หยุด เขื่อนข้อมูลทะลักทลายออกมาจนผมไม่มีโอกาสจะพูดแทรกอะไรเธอได้เลย เธอเริ่มด้วยการแนะนำตัวเอง บอกชื่อจริง ตามด้วยชื่อเล่น เธอบอกให้เรียกชื่อเล่นก็ได้นะคะ (ตีสนิททันที) เธอถามชื่อผม จากนั้นก็บอกว่าเธอมาจากองค์กรชื่อแปลกๆ อะไรสักอย่างที่มีหน้าที่ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนจากการทารุณกรรม เธอถามผมว่าเคยได้รายละเอียดขององค์กรนี้แนบไปกับบิลเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตไหม (ซึ่งแปลว่าเธอถามผมแบบอ้อมๆ ว่า มีบัตรเครดิตไหม)

        แล้วเธอก็บรรยายถึงความทรมานของสัตว์ที่ต้องโดนมนุษย์ทำร้ายหรือเป็นโรคร้ายขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพิการ โรงงานดีหมี ต่างๆ นานา รวมทั้งโชว์ภาพที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสัตว์ผู้ร่วมโลกเหล่านี้ควรจะได้รับความกรุณาจากผม

        นอกจากน้องผู้หญิงคนนี้แล้ว ก็ยังมีพนักงานผู้ชายอีกคนที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี เพราะเขาตรงเข้ามาหาลูกสาวผมแล้วดึงไปเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เพื่อไม่ให้รบกวนผม เรียกว่าทำงานเข้าขากันมาก

         เร็วกว่าความคิด น้องผู้หญิงคนนั้นเอาเอกสารมา แล้วบอกว่าอยากให้ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อน ด้วยเงินที่เราซื้อ "กาแฟหนึ่งแก้วต่อวัน" ก็ช่วยเหลือพวกเขาได้มากแล้ว พร้อมกันนั้นเธอก็เอาตัวอย่างคนที่บริจาคมาแล้วว่านี่ไง คนนั้นบริจาคหกร้อยต่อเดือน คนนี้บริจาคแปดร้อยต่อเดือน แล้วเธอก็ชี้แจงว่าโครงการนี้ไม่รับเงินสด รับแต่หักบัตรเครดิต และต้องบริจาคอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่รับบริจาคครั้งเดียว
         รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอเซ็นให้ตัดบัตรเครดิตไปแล้ว 
  
         ยอมรับครับว่าบุญกุศลในการทำบุญครั้งนี้คงไม่ได้เท่าไหร่ เพราะอึดอัดใจปนความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะเธอไม่ปล่อยให้ผมได้มีโอกาสคิดสักวินาทีเดียวว่าผมอยากบริจาคไหม มันเหมือนโดนมอมยาแล้วพาไปกดตู้เอทีเอ็ม คือรู้นะครับว่าองค์กรนี้คงมีอยู่จริง และเจตนาของน้องเขาก็คงจะดี แต่มันอยู่ที่ท่าทีครับ เพราะน้องเขาทำตัวสนิทเกินไป บีบคั้นเกิน (ถ้าภาษาวัยรุ่นต้องบอก สนิทเกิ๊นนนน บีบคั้นเกิ๊นนนน
         ไม่เป็นไร คิดว่าให้ "หมา" มันไปก็แล้วกัน

        ทุกวันนี้ผ่านมา 2-3 ปีแล้ว ผมก็ยังตัดบัตรเครดิตบริจาคให้ทั้ง 2 องค์กรนี้อยู่ 
        เปล่าหรอกครับ ผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่เป็นเพราะสองสาเหตุ คือ
        หนึ่ง ขี้เกียจไปยกเลิกให้วุ่นวาย
        สอง มันเหมือนเป็นเครื่องรางของขลัง เพราะหลังจากนั้นเวลาที่ผมเดินห้างแล้วต้องไปเจอกลุ่มรับบริจาคแบบนี้ ผมก็เดินผ่านได้สบายๆ เพราะผมมีคาถาป้องกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า
        "บริจาคแล้วครับ"
        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น