ใช้บัตรเครดิตกันบ้างไหมครับ?
เปล่าหรอกครับ
ที่ถามไม่ใช่จะมาชวนคุณใช้บัตรเครดิตหรือจะมาขายบัตรเครดิตให้หรอกนะครับ
แต่อยากจะถามว่าเคยได้รับซองบิลค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้วมีเอกสารสอดแทรกอยู่ในซองนั้นบ้างหรือเปล่า
คือปกติแล้ว
ผมก็ได้ไอ้เจ้าซองเรียกเก็บเงินนี้อยู่ทุกๆ
เดือนนั่นล่ะครับ
แต่ประมาณสองปีที่แล้วปรากฏว่าในซองนั้นมีเอกสารแปลกปลอมใส่มาด้วย
มันคือเอกสารขอบริจาคช่วยเหลือเด็กยากจนไร้การศึกษาขององค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง
ในเอกสารนั้นระบุถึงเรื่องราวความยากลำบากของเด็กๆ
ในชนบทที่ห่างไกลการศึกษาและความเจริญ
เขาและเธอเหล่านั้นอาจไม่มีแม้กระทั่งอาหารกลางวัน
รองเท้า ผ้าห่ม สมุด ดินสอ
เหมือนอย่างที่คนเมืองอย่างคุณและผมมีกัน
จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยว่าเงินที่เราซื้อกาแฟวันละแก้วหรือประมาณ
20
บาทนั้น
อาจสร้างอนาคตใครบางคนได้เลย
เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันบริจาคเป็นประจำทุกเดือนด้วยการตัดผ่านบัตรเครดิตทุกๆ
เดือน เท่านี้ก็จะสร้างอนาคตให้กับน้องๆ
ได้มีข้าวกินได้มีการศึกษาได้
ไม่มีปัญหาอะไร
ผมเห็นด้วยว่าแต่ละวันที่เรากินนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวกาแฟ เดี๋ยวน้ำปั่น
เดี๋ยวลูกชิ้น
เงินจำนวนนี้เราจ่ายได้อย่างไม่คิดอะไร
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะซื้อหากาแฟทุกวันเพิ่มอีกสักแก้วแล้วทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น
อย่างนั้นผมว่าก็น่าสน
และผมเองก็เห็นด้วยกับประโยคในบทบรรณาธิการของน้าทิวา
สาระจูฑะ แห่งนิตยสารสีสันเมื่อนานมาแล้วว่า
อย่าคิดแต่ว่ารอให้เรารวยก่อน
แล้วค่อยคิดจะช่วยเหลือคนอื่น
แล้วผมก็กรอกข้อมูลเอกสารพร้อมส่งกลับ
แล้วก็ลืมมันไป
จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมกับครอบครัวไปเดินเล่นที่ห้างแห่งหนึ่ง
ระหว่างที่แฟนผมเดินนำไปก่อน
เหลือผมกับลูกสาวที่เดินตามหลังมาห่างๆ
ผมก็พบบูธๆ หนึ่งที่มีพนักงานยืนอยู่ประมาณ
3-4
คน
คอยดักคนที่ผ่านไปมา
ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว
ผมโดนพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งขวางทางไว้
เธอถามผมว่าขอเวลานิดหนึ่งได้ไหม
นี่ไม่ใช่การขายของ
สิบห้านาทีหลังจากนั้นคือความอึดอัดทรมานสุดจะบรรยาย
เพราะเธอเล่นพูดๆๆๆๆๆ
พูดไม่หยุด
เขื่อนข้อมูลทะลักทลายออกมาจนผมไม่มีโอกาสจะพูดแทรกอะไรเธอได้เลย
เธอเริ่มด้วยการแนะนำตัวเอง
บอกชื่อจริง ตามด้วยชื่อเล่น
เธอบอกให้เรียกชื่อเล่นก็ได้นะคะ
(ตีสนิททันที)
เธอถามชื่อผม
จากนั้นก็บอกว่าเธอมาจากองค์กรชื่อแปลกๆ
อะไรสักอย่างที่มีหน้าที่ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนจากการทารุณกรรม
เธอถามผมว่าเคยได้รายละเอียดขององค์กรนี้แนบไปกับบิลเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตไหม
(ซึ่งแปลว่าเธอถามผมแบบอ้อมๆ
ว่า มีบัตรเครดิตไหม)
แล้วเธอก็บรรยายถึงความทรมานของสัตว์ที่ต้องโดนมนุษย์ทำร้ายหรือเป็นโรคร้ายขึ้นมาเอง
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพิการ
โรงงานดีหมี ต่างๆ นานา รวมทั้งโชว์ภาพที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสัตว์ผู้ร่วมโลกเหล่านี้ควรจะได้รับความกรุณาจากผม
นอกจากน้องผู้หญิงคนนี้แล้ว ก็ยังมีพนักงานผู้ชายอีกคนที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี
เพราะเขาตรงเข้ามาหาลูกสาวผมแล้วดึงไปเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์
เพื่อไม่ให้รบกวนผม
เรียกว่าทำงานเข้าขากันมาก
เร็วกว่าความคิด น้องผู้หญิงคนนั้นเอาเอกสารมา
แล้วบอกว่าอยากให้ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อน
ด้วยเงินที่เราซื้อ "กาแฟหนึ่งแก้วต่อวัน" ก็ช่วยเหลือพวกเขาได้มากแล้ว
พร้อมกันนั้นเธอก็เอาตัวอย่างคนที่บริจาคมาแล้วว่านี่ไง
คนนั้นบริจาคหกร้อยต่อเดือน
คนนี้บริจาคแปดร้อยต่อเดือน
แล้วเธอก็ชี้แจงว่าโครงการนี้ไม่รับเงินสด
รับแต่หักบัตรเครดิต
และต้องบริจาคอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ไม่รับบริจาคครั้งเดียว
รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอเซ็นให้ตัดบัตรเครดิตไปแล้ว
ยอมรับครับว่าบุญกุศลในการทำบุญครั้งนี้คงไม่ได้เท่าไหร่
เพราะอึดอัดใจปนความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เพราะเธอไม่ปล่อยให้ผมได้มีโอกาสคิดสักวินาทีเดียวว่าผมอยากบริจาคไหม
มันเหมือนโดนมอมยาแล้วพาไปกดตู้เอทีเอ็ม
คือรู้นะครับว่าองค์กรนี้คงมีอยู่จริง
และเจตนาของน้องเขาก็คงจะดี
แต่มันอยู่ที่ท่าทีครับ
เพราะน้องเขาทำตัวสนิทเกินไป บีบคั้นเกิน (ถ้าภาษาวัยรุ่นต้องบอก
สนิทเกิ๊นนนน บีบคั้นเกิ๊นนนน)
ไม่เป็นไร คิดว่าให้ "หมา" มันไปก็แล้วกัน
ทุกวันนี้ผ่านมา 2-3 ปีแล้ว ผมก็ยังตัดบัตรเครดิตบริจาคให้ทั้ง 2 องค์กรนี้อยู่
เปล่าหรอกครับ ผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่เป็นเพราะสองสาเหตุ คือ
หนึ่ง ขี้เกียจไปยกเลิกให้วุ่นวาย
สอง มันเหมือนเป็นเครื่องรางของขลัง เพราะหลังจากนั้นเวลาที่ผมเดินห้างแล้วต้องไปเจอกลุ่มรับบริจาคแบบนี้ ผมก็เดินผ่านได้สบายๆ เพราะผมมีคาถาป้องกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า
"บริจาคแล้วครับ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น