วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประสบการณ์เฉียดตาย



        ปืนกระบอกนั้นจ้องมาที่ผมและคนอื่นๆ บนรถสองแถว มันกวัดแกว่งไปมาดูน่าระแวง จริงอยู่แม้มันจะเป็นแค่ปืนประดิษฐ์ ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนปืนในหนัง แต่มันก็ทำเอาคนบนรถก้มหน้ากันหมด 

        เสียงเจ้าของปืนยิงคำถามขึ้นมาว่า “มีใครเป็นเด็กเทคโน…(ขอสงวนชื่อไว้นะครับ)… รึเปล่าวะ?” ไม่มีใครตอบ เขาคนนั้นจึงเอ่ยกับเพื่อนอีกคนว่า “ปลอดภัยแล้วเว้ยเพื่อน กลับบ้านดีๆ นะมึง”

        นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว มันเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกลางเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน เวลาสองทุ่ม ผมนั่งอยู่บนรถสองแถวที่มีผู้โดยสารนั่งกันเต็ม แต่เพียงเพราะเด็กช่างกลคนหนึ่งเป็นห่วงเพื่อนและต้องการมาส่งเพื่อนขึ้นรถ วันนั้นผมสงสัยว่าถ้ามีเด็กเทคโนที่เจ้าของปืนถามขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้น?

        ผมนึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเพราะล่าสุด ผมเกือบจะต้องมีเรื่องบนถนนอีกครั้ง เพียงเพราะคืนนั้นรถติดยาวเป็นครึ่งชั่วโมง จนผมต้องปาดซ้ายออกมาเพื่อหาเลนใหม่ แต่คงจะดูพลาดท่าไปหน่อยเพราะมัวโทรศัพท์ไปด้วย เลยเกือบไปชนกับมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์เอี้ยวตัวหลบ 

        แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เขาจอดรถขวางหน้ารถผม และชี้นิ้วมาที่ผม ทำหน้าตาน่ากลัวที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ ผมได้แต่ก้มหัวยอมรับผิดแต่โดยดีที่โทรแล้วขับ แต่ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะไม่ลดลง โชคดีที่แฟนของผู้ชายคนนี้ห้ามไว้ และก็โชคดีที่เขาฟัง จึงกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์และชี้หน้าผมก่อนจะขับจากไป

        ผมเลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อสงบสติอารมณ์ ถ้าผู้ชายคนนั้นจะหาเรื่องผมจริงๆ ผมจะทำอย่างไร เพราะผมก็ไม่ใช่คนที่พร้อมจะมีเรื่องกับใครได้ทุกเมื่อ และถึงจะไม่มีปืนในรถ แต่ผมก็มีมีดพับเล่มหนึ่งที่พกติดไว้ในรถเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ นั่นแปลว่าถ้าต้องมีเรื่องกันจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ๆ

ผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าทำไมเขาไม่กลัวว่าคนในรถจะมีอาวุธอะไรที่อาจจะทำร้ายเขาได้ หรือตอนนั้นเลือดเข้าเลยลืมคิด 

ผิดกับผมที่ครั้งนึงเคยมีเรื่องกับเจ้าของรถบีเอ็มที่จอดขวางถนนในซอย เราเปิดไฟสูงใส่กันไปมาจนเรื่องบานปลาย รถบีเอ็มเร่งเครื่องจะชนรถผม จนผมต้องถอย เจ้าของรถยังไม่ยอม เขาลงมาจากรถ เดินมาที่นั่งข้างคนขับของรถผม โดยไม่สนใจว่าในรถผมมีเพื่อนๆ อีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายร่างกำยำ นาทีนั้นผมคิดว่าเขาต้องมีปืนแน่ๆ ถึงมั่นใจขนาดนั้น

ภาพของลูกสาวแว่บเข้ามาในหัว สารภาพครับว่าวันนั้นผมยกมือไหว้ขอโทษเขา เพราะไม่อยากมีเรื่อง พอเหตุการณ์จบไปแล้ว น้องที่นั่งข้างๆ ผมบอกว่าถ้าผมตัดสินใจช้ากว่านิดอีกนิด เขาจะเปิดประตูรถกระแทกผู้ชายคนนั้น แล้วลงไปชกกับมันสักตั้ง

นั่นคือประสบการณ์เฉียดๆ ตายของผม แต่ที่เล่ามาทั้งหมด ยังไม่เท่ากับเรื่องต่อไปนี้ เพราะมันทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าบางทีคนดีๆ ทำมาหากินสุจริตก็น่าจะพกปืนไว้บ้าง

หลายปีก่อน คืนนั้นผมออกจากออฟฟิศสองทุ่ม เรียกแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทาง จากนั้นรถก็ออกตัว เหตุการณ์ก็ดูธรรมดาๆ แต่พอขับไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสามถลาออกมาจากซอยจนเกือบจะชนเข้ากับแท็กซี่ แท็กซี่บีบแตรไปหนึ่งครั้งเพื่อเตือนให้ระวัง

ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์ไม่พอใจที่โดนบีบแตร จึงไล่กวดตามรถแท็กซี่ พร้อมยกขวดเบียร์ที่คาดว่ากินกันจนเมากรึ่มแล้ว ทำท่าจะฟาดลงบนหลังคาแท็กซี่ เสียงตะโกนโวยวายหาเรื่องมึงมาพาโวยดังลั่น แท็กซี่ไม่อยากมีเรื่องจึงพยายามเร่งความเร็วหนี โชคไม่ดีที่เรามาติดไฟแดง ขี้เมาทั้งสามจอดขวางหน้ารถแท็กซี่ ทั้งหมดลงมาท่าทางหาเรื่องเต็มที่

ไวเท่าความคิด แท็กซี่รีบปัดซ้ายหลบฉากออกทันที จากนั้นเลี้ยวซ้ายเพื่อหนีสุดชีวิต สามคนนั้นรีบกลับไปที่รถแล้วบิดตามมาต่อ 

โชคร้ายที่วันนั้นรถติดมากๆ ไปได้สักพัก เราก็ติดแหงกอยู่หน้าห้าง แท็กซี่มองกระจกหลังบอกกับผมว่าไอ้พวกนั้นมันตามมา ผมกับคนขับต่างมองหาว่าคืนนี้ตำรวจไปไหนหมด (วะ) เราต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มี 

ขี้เมาสามตัวมาถึงแล้ว มันชี้มาที่เรา เสียงโหวกเหวกเหมือนเดิม จากนั้นก็ขี่เลยไป คาดว่าพวกมันน่าจะไปดักข้างหน้า เพราะตรงนี้คนเยอะ ทำอะไรไม่สะดวก แต่เมื่อไม่มีทางเลือก เราก็ต้องขับตรงต่อไป

ขับไปได้สักพัก ผมก็เห็นอันธพาลสามคนนี้โดนด่านที่ตำรวจมาตั้งเรียกตัวไว้ ทั้งสามคนนั่งแผ่หลากับพื้น สภาพเมามาก ผมกับแท็กซี่โล่งใจที่เรารอดแล้ว

วันนั้นผมกลับบ้านด้วยความระทึก พร้อมกับสองคำถามที่ว่า "นี่หรือเมืองไทยเมืองพุทธ?" และ "หรือเราควรจะพกปืนไว้ติดตัวดี?"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น