วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เงิน เงิน เงิน


        แปลกดีนะครับที่เจ้ากระดาษพิมพ์ตัวเลขที่เราทุกคนจับต้องกันอยู่ทุกวันอันเรียกว่า “เงิน” นั้น กลับกลายเป็นเรื่องน่าเกลียดที่ใครสักคนจะพูดหรือเขียนถึงมันแบบตรงๆ ว่า "ชอบเงินจังเลย" เพราะหลายคนบอกว่าเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะมาพูดเรื่องนี้กันแบบโจ่งแจ้ง ขืนใครพูดมาก็จะถูกตีตราว่า "ไอ้หน้าเงิน"

        อย่างไรก็ตาม ศิลปินหลายๆ คนก็เคยพูดถึงเรื่องเงินอย่างโจ๋งครึ่มกันมาแล้ว ร่ายมาตั้งแต่รุ่นใหญ่อย่าง The Beatles และ Pink Floyd ที่มีเพลงชื่อว่า Money ตรงกัน รายของสี่เต่าทองนั้น เขาเขียนเนื้อไว้เจ็บแสบมากว่า "สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคืออิสระเสรีภาพ แต่ได้โปรดเอาไปให้นกบนฟ้าเถอะ เพราะตอนนี้ต้องการเงินมากกว่า จริงอยู่ที่เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่อะไรที่เงินซื้อไม่ได้ ตอนนี้ฉันไม่ต้องการ" 

        ส่วน Pink Floyd นั้นก็บอกไว้ว่า "เงินทองนั้นแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นค่าน้ำมัน รถใหม่ คาเวียร์ ทีมฟุตบอล แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นอาชญากรรมด้วย เพราะเป็นต้นตอของความเลวร้ายทั้งปวงในวันนี้"

        ข้ามฝั่งมาที่บ้านเรา เคยมีศิลปินอิสระที่ใช้ชื่อ ไทร อำนาจ ศิระวงษ์ธรรม พูดถึงเรื่องเงินไว้ในเพลง "คนที่ทำเหมือนเงินซื้อไม่ได้เอาใจยาก" เนื้อหาเสียดสีคนบางประเภทที่ช่วยเหลือเรา แต่เราไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรก็เลยเสนอเป็นเงินให้ไป แต่กลับโดนปฏิเสธ จนอึดอัดใจกันทั้งสองฝ่าย หรือจะเป็นวงอินดี้อย่าง The Richman Toy กับเพลง "กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม" ที่เล่าเรื่องของไอ้หนุ่มชนชั้นกลางคนนึงที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อยกระดับชีวิตให้เหมือนที่คนกรุงเขาเป็นกัน ก็เลยเป็นหนี้บานเบอะทั้งผ่อนคอนโด ไอโฟนและทีวีรุ่นใหม่เพื่อเอาใจคนรัก

        สรุปว่าเงินนั้นบ้างก็น่ารังเกียจ บ้างก็น่าพิสมัย บ้างก็สร้างความสุข บ้างก็สร้างปัญหา แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนว่าใครๆ ก็จะขาดเงินกันไม่ได้ทั้งนั้น

แต่น่าแปลกที่หลายๆ ครั้งผมมักจะได้ยินประโยคในทำนองที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” หรือ “สำหรับผมแล้ว เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังไงก็ได้” หรือ “เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้” โดยเฉพาะประโยคที่ว่าเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญนั้นผมได้ยินบ่อยมาก

ใครจะว่ายังไงไม่รู้นะครับ แต่สำหรับผมแล้ว เงินสำคัญมาก ส่วนที่บางคนพูดว่าเงินไม่สำคัญนั้น ผมสรุปเอาเองได้ว่า หนึ่ง คนคนนั้นรวยอยู่แล้ว มีเงินเหลือกินเหลือใช้ (และมักจะไม่ได้รวยด้วยตัวเอง จึงบอกว่าเงินไม่สำคัญ) สอง คนคนนั้นยังไม่เคยต้องรับผิดชอบชีวิตใคร และสาม คนคนนั้นพร้อมยินยอมที่จะอยู่อย่างจนๆ หรือแปลอีกอย่างว่าเขา "เกลียดความรวย" ครับ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าจะมีคนเกลียดความรวยอยู่ในโลกนี้จริงๆ แต่ผมนี่ล่ะครับที่เคยเกลียดความรวย เกลียดเงิน ผมเคยรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ถ้ามีเยอะไปก็จะดูไม่ดี ดูเอาเปรียบคนจน ทำไมคนอื่นๆ ลำบากอยู่ แล้วเรารวยอยู่คนเดียวได้ไง อะไรทำนองนี้

กว่าจะปรับความคิดใหม่ได้ ก็เล่นเอาผ่านไปสิบปี สาเหตุก็เพราะมาเจอกับความจริงของชีวิตในหลายๆ ข้อว่าเงินนั้นซื้อทุกอย่างไม่ได้ก็จริง แต่มันก็ซื้อหลายๆ อย่างที่จำเป็นกับชีวิตได้ไม่น้อย ยิ่งในวันที่คนที่เรารักเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หรือวันที่เราเจอวิกฤตบางอย่างของชีวิต ตอนนั้นเงินสำคัญจริงๆ ครับ

หลายๆ คนปล่อยปละละเลยกับชีวิตก็เพราะใช้ตรรกะผิดกับประโยคที่ว่า "เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต" "เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้" พอได้ฟังประโยคดังกล่าวก็เลยจัดแจงพลิกมันสุดขั้วไปเลยว่า อ๋อ เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดใช่ไหม ถ้างั้นก็ไม่ต้องหามากมายหรอก พอกินวันนี้เดือนนี้ก็พอ อ๋อ เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ใช่ไหม งั้นก็อย่าหามันเลย ไปเที่ยวเล่นเย็นๆ ใจดีกว่า 
การคิดแบบนี้ ถ้าคนที่เรียนตรรกศาสตร์มาจะเข้าใจในประโยคที่ว่า “ทฤษฎีบทกลับไม่เป็นจริง”

ผมชอบโฆษณาของบัตรเครดิตอยู่เจ้านึง คนเขียนก็อปปี้เขียนได้เท่มากๆ เขาออกมาหลายเวอร์ชั่นนะครับ แต่ผมจำรายละเอียดแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ เขาเขียนประมาณว่า 
ชุดลายดอกไม้: 7,000 บาท ความภูมิใจ: ประเมินค่าไม่ได้
ค่าตรวจสุขภาพประจำปี: 2,000 บาท สุขภาพทุกคนในครอบครัวดี: ประเมินค่าไม่ได้ 
แล้วเขาก็สรุปว่า บางสิ่งประเมินค่าไม่ได้ ที่เหลือคือ…(ชื่อของบัตรเครดิตเจ้านั้นครับ)

มันเจ๋งมากนะครับที่สินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจับจ่ายเงินล้วนๆ อย่างบัตรเครดิตกลับพูดว่าบางอย่างประเมินค่าเป็นตัวเลขไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่ามีเงินก็ซื้อไม่ได้
เอาเป็นว่าผมอยู่ฝั่งที่ว่า เงินเป็นสิ่งสำคัญและผมก็รักเงินครับ เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคนเราคงจะลำบากกว่านี้เยอะ
อย่างน้อยๆ ที่เราอ่าน blog เล่น FB อยู่นั้นก็เสียตังค์ค่าอินเทอร์เน็ต จริงมั้ยล่ะครับ?  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น