วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนที่เรามองไม่เห็น


ถึงจะทำนิตยสารที่หลายคนมองว่าออกแนวเซ็กซี่มีระดับ แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะไปนั่งดื่มอยู่ตามสถานที่กลางคืน ด้วยเพราะหลังๆ นิยมความเงียบ และเริ่มไม่เข้าใจว่าเราจะนัดเพื่อนที่อยากเจอไปตะเบ็งเสียงคุยแข่งกับเสียงเพลงทำไม 

แต่เมื่อหลายเดือนก่อน ผมก็มีโอกาสไปนั่งดื่มที่ร้านชั้นดีแถวๆ เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เพราะเพื่อนคนหนึ่งไปจัดอีเวนต์ที่นั่นและชวนผมไปเป็นแขกวีไอพีในงาน

คืนนั้นผมนั่งคุยกับน้องพริตตี้คนหนึ่ง ซึ่งก็นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับผมที่ได้ฟังชีวิตของสาวพริตตี้ว่ามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง (แต่สำหรับนักท่องราตรี คงจะเฉยๆ)

เธอเล่าให้ผมฟังว่า เธอเพิ่งอายุ 19 ยังเรียนอยู่ ปวส. เป็นคนเรียนเก่ง และเป็นหัวหน้าห้อง แต่ก็ทำงานในร้านกลางคืนแบบนี้มา 2-3 ร้านแล้ว รายได้ดีขนาดที่ว่าทำงานอาทิตย์เดียวก็เท่าๆ กับหรือมากกว่าพนักงานออฟฟิศหลายๆ คน (งานที่เธอทำคือชงเครื่องดื่มให้แขกและนั่งคุยด้วยที่โต๊ะเท่านั้นนะครับ ไม่มีอย่างอื่นมากกว่านี้)

ผมถามเธอไปว่าแล้วมาทำงานกลางค่ำกลางคืนแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ เธอตอบว่าเธอพาแม่มาดูที่ร้านด้วยซ้ำว่าเธอทำงานอะไรบ้าง และมันก็เป็นงานสุจริตที่ไม่มีอะไรเสียหาย ที่สำคัญที่เธอทำงานนี้ก็เพราะต้องส่งตัวเองเรียน

ครับ เรื่องราวมันซ้ำๆ อย่างที่เราอาจเคยได้ยินกันมา พ่อแม่แยกทางกัน เธออยู่กับแม่ที่ทำงานขายของที่ไม่อาจมีรายได้เพียงพอส่งเธอเรียน ส่วนพี่ชายของเธอก็แยกออกไปอยู่กับแฟนทั้งที่ยังเรียนอยู่ และไม่ได้มาช่วยเหลือแม่อะไรมากมาย เธอจึงต้องหาเลี้ยงตัวเอง กว่าจะนอนก็ตีสามตี่สี่ หกโมงเช้าก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวไปเรียน แล้วกลับมานอนตอนเย็นๆ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานตอนกลางคืนอีกครั้ง วนเวียนอยู่อย่างนี้เกือบทุกวัน

ผมถามเธอต่อว่าแล้วทำไมไม่หางานอื่นทำ เธอตอบว่าแล้วจะให้นักเรียนอย่างเธอไปทำงานอะไรตอนกลางคืน และงานอะไรที่จะมีรายได้พอที่จะส่งตัวเองเรียน ซื้อของให้แม่ ซึ่งก็จริงของเธอ

ก่อนหน้านั้น ถ้าผมจำไม่ผิด เธอบอกว่าเธอทำงานมาตั้งแต่ยังเด็กกว่านี้ โดยก่อนหน้าที่จะมาทำงานกลางคืน เธอเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ท่ี่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งเพื่อให้มีรายได้เสริม แต่นั่นมันก็ตอนที่เธอยังไม่ต้องแบกรับภาระเรื่องการเรียนไว้ลำพัง

ประโยคหนึ่งที่หล่นออกมาในบทสนทนาตรงช่วงนี้สะกิดใจผมเข้าอย่างจัง เธอพูดประมาณว่า "พี่รู้มั้ยว่ามีคนแบบหนูเยอะแยะ ทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทำงานตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน แต่ก็เหมือนไม่มีใครมองเห็น ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟก็เหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำ"

ผมเองเคยคิดถึงประเด็นนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ลืมๆ ไปจนกระทั่งได้ฟังประโยคนี้ ใช่เลย! หลายครั้งเราก็มองคนในหลายอาชีพแบบแทบจะไม่อยู่ในสายตา เหมือนเขาเหล่านั้นไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้

พนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาดในห้างสรรพสินค้า พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานเก็บค่าทางด่วน และอีกหลายๆ พนักงาน

ถามว่ามีกี่ครั้งที่เราไปเดินห้าง แล้วจะสังเกตหรือนึกถึงว่าพนักงานทำความสะอาดที่กำลังกวาดกำลังถูพื้นอยู่นั้นเขาเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน เคยทำงานที่ไหนมาก่อน และอีกมากมาย

ผมคิดว่าส่วนใหญ่พวกเราแทบจะไม่เคยมองหน้าเขาเหล่านั้นด้วยซ้ำ
คิดแล้วก็แปลกดีนะครับ ที่เราอยู่สังคมเดียวกันแท้ แต่กลับไม่เคยเห็นถึงการมีอยู่ของคนเหล่านี้

อาจเป็นเพราะยูนิฟอร์มที่สวมใส่นั้นสลายเอกลักษณ์ของแต่ละคนให้กลายเป็นภาพเบลอๆ ของอาชีพนั้นๆ พนักงานทำความสะอาดจึงดูเหมือนกันไปหมดในชุดยูนิฟอร์มของบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยจึงมีภาพจำที่คล้ายกันไปหมด ลองหลับตานึกสิครับ ผมว่าเรานึกเหมือนกันว่า รปภ. หน้าหมู่บ้านจะต้องตัวผอมๆ คล้ำๆ เกรียมแดด เป็นคนต่างจังหวัด อยู่ในชุดยูนิฟอร์มคล้ายๆ กันทุกหมู่บ้าน

หรือแม้กระทั่งสาวพริตตี้ ที่หลายๆ คนอาจจะบอกว่าพริตตี้คนไหนๆ ก็ดูเหมือนกันไปหมด
แต่ถ้าได้มานั่งคุยรายละเอียดจริงๆ ก็จะเห็นความมีเลือดเนื้อมีจิตใจของเธอเหล่านี้ 
มากกว่าที่หลายคนจะมองเห็นแต่ "เนื้อ" ของเธอ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น