ขบวนรถยนต์ต่อแถวยาวตั้งแต่ในหมู่บ้านล้นไปจนถึงหน้าหมู่บ้าน
เสียงรถบีบแตรไล่ให้หัวแถวขับออกไปจากที่นี่เร็วๆ
ผู้คนเดินกันอย่างร้อนรน
ร้านสะดวกซื้อที่เคยเปิดทุกวันตลอด
24
ชั่วโมง
ไฟดับสนิท ร้านรวงปิดกันทุกร้าน
ความร้อนของแดดเหมือนจะแผดเผาทุกอย่างให้ละลายลงไปกองกับพื้น
ทุกคนเร่งรีบหนีออกจากหมู่บ้าน
ประหนึ่งว่าหนีตาย
ที่เล่ามาทั้งหมด
ไม่ใช่ฉากในหนังแอ็คชั่นภัยพิบัติถล่มโลกหรือผู้คนหนีตายในวันโลกแตกหรอกครับ
แต่มันคือฉากที่ผมยังจำได้ดีแม้จะผ่านมา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นที่หมู่บ้านผมและบริเวณใกล้เคียงถูกตัดกระแสไฟฟ้าตั้งแต่แปดโมงเช้ายันบ่ายสาม
เนื่องมาจากการไฟฟ้าซ่อมแซมเสาไฟฟ้าใหม่
(ที่ชาวบ้านทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมต้องมาซ่อมวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่แทบทุกคนอยู่บ้านด้วยก็ไม่รู้)
แต่เนื่องจากมีป้ายแจ้งเตือนการดับไฟล่วงหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว
ทุกคนในหมู่บ้านจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าวันอาทิตย์เกิดเหตุจะพาตัวเองหนีไปที่ไหนดี
และจากผลการสำรวจที่ผมคุยกับชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นร้านขายยา
ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ร้านหนังสือ
ทุกคนตอบมาคล้ายๆ กันว่า
“ไปห้าง”
ส่วนที่บ้านผม
อยากไปห้างอย่างคนอื่นเหมือนกัน
แต่ติดตรงที่ว่าตอนนั้นลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะอายุ
10
วันเท่านั้น
ก็เลยไม่อยากให้ไปติดเชื้อโรคมา
ผม ภรรยา ลูก 2
คนและพี่เลี้ยงจึงยกโขยงกันไปเช่าอพาร์ตเมนต์รายวันอยู่กันชั่วคราว
สำหรับใครที่ไม่เคยโดยตัดไฟอย่างนี้
อาจจะไม่รู้นะครับว่าไฟที่บ้านเราจะไม่ได้ดับลงในทันที
แต่มันจะค่อยๆ หรี่ลงๆ
แล้วก็ดับในที่สุด ตอนที่ไฟดับ
ภรรยากำลังกินข้าว ส่วนผมกำลังอาบน้ำให้ลูกสาว
มาคิดตอนนี้แล้วก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเรา-ผมหมายถึงผมกับภรรยา-ทำเหมือนไม่เชื่อว่าไฟมันจะดับจริงๆ
ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย
พอไฟดับขึ้นมาก็วิ่งกันวุ่น
เพราะเพียงแค่สิบนาทีบ้านก็ร้อนจนแทบอยู่ไม่ไหว
กับข้าวที่ทำเผื่อไว้ว่าจะเอาเข้าตู้เย็นก็ลืมไปว่าตู้เย็นมันต้องใช้ไฟฟ้า
กังวลว่าน้ำจะไม่ไหลแล้วจะไม่มีน้ำอาบก็ลืมไปว่าน้ำไม่เกี่ยวกับไฟฟ้า
แถมยังวิ่งหาพัดกันให้วุ่น
เพราะครั้งสุดท้ายที่ใช้พัดนั้นไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
กว่าจะออกจากบ้านได้
ก็ใช้เวลากันเกือบครึ่งชั่วโมง
เชื่อมั้ยครับว่านาทีที่ไปถึงอพาร์ตเมนต์
ขึ้นห้อง เสียบกุญแจแล้วไฟสว่างทั้งห้อง
ผมดีใจประมาณว่าโทมัส
เอดิสัน สามารถประดิษฐ์หลอดไฟที่สว่างไสวได้นาน
8
ชั่วโมงเลยล่ะครับ
วันนั้นผมจึงได้รู้ว่ามนุษย์นั้นขาดไฟฟ้าไม่ได้จริงๆ
เพราะอะไรๆ
ในบ้านก็ดูจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเสียหมด
แอร์ พัดลม คอมพิวเตอร์
โทรทัศน์ ที่นึ่งขวดนม ตู้เย็น
กาต้มน้ำร้อน โดยเฉพาะหน้าร้อนแบบนี้
ใครๆ ก็คงอยู่ไม่ติดบ้านถ้าไม่มีแอร์
คิดแล้วก็น่าแปลกเหมือนกันนะครับ
ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนอยู่กันได้อย่างไรในวันร้อนๆ
แบบนี้ ไม่มีพัดลม มีแต่พัดมือ
ไม่มีตู้เย็น มีแต่น้ำเย็นๆ
ในตุ่มดิน
เมื่อก่อนเมื่อนานมาแล้วผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ติดแอร์
เพราะรู้สึกว่ามันเอาเปรียบมากๆ
ที่โยนออกมาความร้อนออกมาพ่นใส่คนอื่น
พวกรถยนต์ก็เหมือนกัน
เดินใกล้ๆ ทีไร ร้อนแทบจะละลาย
แต่คนในรถนั่งสบายใจเฉิบ
ที่ไหนได้วันนี้บ้านผมติดแอร์สามตัว
ขับรถยนต์ก็เปิดแอร์เย็นยะเยือก
บ่ายสาม
ได้เวลากลับมาบ้าน
ครอบครัวผมก็ยกโขยงกลับมาบ้าน
สารภาพครับว่ารู้สึกรักบ้านขึ้นอีกเป็นกอง
นาทีที่กดสวิตช์ไฟแล้วไฟติด
ผมไม่เคยคิดถึงไฟฟ้าเท่านี้มาก่อน
ในใจผมคิดว่า
แหม เรานี่มันมนุษย์ไฟฟ้าแท้ๆ
เลยนะเนี่ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น