วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ไฟฟ้า


        ขบวนรถยนต์ต่อแถวยาวตั้งแต่ในหมู่บ้านล้นไปจนถึงหน้าหมู่บ้าน เสียงรถบีบแตรไล่ให้หัวแถวขับออกไปจากที่นี่เร็วๆ ผู้คนเดินกันอย่างร้อนรน ร้านสะดวกซื้อที่เคยเปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไฟดับสนิท ร้านรวงปิดกันทุกร้าน ความร้อนของแดดเหมือนจะแผดเผาทุกอย่างให้ละลายลงไปกองกับพื้น ทุกคนเร่งรีบหนีออกจากหมู่บ้าน ประหนึ่งว่าหนีตาย

        ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่ฉากในหนังแอ็คชั่นภัยพิบัติถล่มโลกหรือผู้คนหนีตายในวันโลกแตกหรอกครับ แต่มันคือฉากที่ผมยังจำได้ดีแม้จะผ่านมา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นที่หมู่บ้านผมและบริเวณใกล้เคียงถูกตัดกระแสไฟฟ้าตั้งแต่แปดโมงเช้ายันบ่ายสาม เนื่องมาจากการไฟฟ้าซ่อมแซมเสาไฟฟ้าใหม่ (ที่ชาวบ้านทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมต้องมาซ่อมวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่แทบทุกคนอยู่บ้านด้วยก็ไม่รู้)

แต่เนื่องจากมีป้ายแจ้งเตือนการดับไฟล่วงหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว ทุกคนในหมู่บ้านจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าวันอาทิตย์เกิดเหตุจะพาตัวเองหนีไปที่ไหนดี และจากผลการสำรวจที่ผมคุยกับชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นร้านขายยา ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ร้านหนังสือ ทุกคนตอบมาคล้ายๆ กันว่า “ไปห้าง” 

ส่วนที่บ้านผม อยากไปห้างอย่างคนอื่นเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าตอนนั้นลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะอายุ 10 วันเท่านั้น ก็เลยไม่อยากให้ไปติดเชื้อโรคมา ผม ภรรยา ลูก 2 คนและพี่เลี้ยงจึงยกโขยงกันไปเช่าอพาร์ตเมนต์รายวันอยู่กันชั่วคราว

สำหรับใครที่ไม่เคยโดยตัดไฟอย่างนี้ อาจจะไม่รู้นะครับว่าไฟที่บ้านเราจะไม่ได้ดับลงในทันที แต่มันจะค่อยๆ หรี่ลงๆ แล้วก็ดับในที่สุด ตอนที่ไฟดับ ภรรยากำลังกินข้าว ส่วนผมกำลังอาบน้ำให้ลูกสาว 

มาคิดตอนนี้แล้วก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเรา-ผมหมายถึงผมกับภรรยา-ทำเหมือนไม่เชื่อว่าไฟมันจะดับจริงๆ ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย พอไฟดับขึ้นมาก็วิ่งกันวุ่น เพราะเพียงแค่สิบนาทีบ้านก็ร้อนจนแทบอยู่ไม่ไหว กับข้าวที่ทำเผื่อไว้ว่าจะเอาเข้าตู้เย็นก็ลืมไปว่าตู้เย็นมันต้องใช้ไฟฟ้า กังวลว่าน้ำจะไม่ไหลแล้วจะไม่มีน้ำอาบก็ลืมไปว่าน้ำไม่เกี่ยวกับไฟฟ้า แถมยังวิ่งหาพัดกันให้วุ่น เพราะครั้งสุดท้ายที่ใช้พัดนั้นไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

กว่าจะออกจากบ้านได้ ก็ใช้เวลากันเกือบครึ่งชั่วโมง เชื่อมั้ยครับว่านาทีที่ไปถึงอพาร์ตเมนต์ ขึ้นห้อง เสียบกุญแจแล้วไฟสว่างทั้งห้อง ผมดีใจประมาณว่าโทมัส เอดิสัน สามารถประดิษฐ์หลอดไฟที่สว่างไสวได้นาน 8 ชั่วโมงเลยล่ะครับ

วันนั้นผมจึงได้รู้ว่ามนุษย์นั้นขาดไฟฟ้าไม่ได้จริงๆ เพราะอะไรๆ ในบ้านก็ดูจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเสียหมด แอร์ พัดลม คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ที่นึ่งขวดนม ตู้เย็น กาต้มน้ำร้อน  โดยเฉพาะหน้าร้อนแบบนี้ ใครๆ ก็คงอยู่ไม่ติดบ้านถ้าไม่มีแอร์

คิดแล้วก็น่าแปลกเหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนอยู่กันได้อย่างไรในวันร้อนๆ แบบนี้ ไม่มีพัดลม มีแต่พัดมือ ไม่มีตู้เย็น มีแต่น้ำเย็นๆ ในตุ่มดิน

เมื่อก่อนเมื่อนานมาแล้วผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ติดแอร์ เพราะรู้สึกว่ามันเอาเปรียบมากๆ ที่โยนออกมาความร้อนออกมาพ่นใส่คนอื่น พวกรถยนต์ก็เหมือนกัน เดินใกล้ๆ ทีไร ร้อนแทบจะละลาย แต่คนในรถนั่งสบายใจเฉิบ

ที่ไหนได้วันนี้บ้านผมติดแอร์สามตัว ขับรถยนต์ก็เปิดแอร์เย็นยะเยือก

บ่ายสาม ได้เวลากลับมาบ้าน ครอบครัวผมก็ยกโขยงกลับมาบ้าน สารภาพครับว่ารู้สึกรักบ้านขึ้นอีกเป็นกอง นาทีที่กดสวิตช์ไฟแล้วไฟติด ผมไม่เคยคิดถึงไฟฟ้าเท่านี้มาก่อน

ในใจผมคิดว่า แหม เรานี่มันมนุษย์ไฟฟ้าแท้ๆ เลยนะเนี่ย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น