ถ้าบังเอิญคุณได้ไปดูดวงกับหมอดูรายหนึ่ง
แล้วเขาทำนายว่าปีนี้คุณจะดวงไม่ดี
จะมีแต่เรื่องแย่ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อหมอดูก็ตาม
แต่เชื่อผมเถอะครับว่ามันจะเป็นตามคำทำนายจริงๆ
ไม่ใช่ว่าหมอดูรายนั้นแม่นอย่างกับจับวางหรอกนะครับ
แต่เป็นเพราะ "จิต"
ของคุณถูกคำสั่งว่า
"ปีนี้คุณจะดวงไม่ดี"
จับเข้าให้แล้ว
ทีนี้พอเกิดเรื่องอะไรไม่ดีเข้านิดหน่อย
คุณก็จะรีบบอกกับตัวเองเลยว่า
"เห็นไหม
จริงด้วย เหมือนที่หมอดูบอกไว้เลย"
โดยคุณลืมไปเลยว่าที่จริงมันก็มีเรื่องดีๆ
เกิดขึ้นกับคุณเหมือนกัน
ผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผมกำลังสนใจเรื่องของ
"จิต"
เร่ืองของ
"สภาวะจิต"
อยู่
ทั้งอ่านหนังสือ
ทั้งไปเข้าคอร์สอบรมด้วยอยากรู้ว่าจริงๆ
แล้ว สิ่งที่อยู่ในตัวเรา
สิ่งที่เราคุยกับมันด้วยทุกเมื่อเชื่อวัน
ทุกเวลา สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีตัวตนจริงๆ
มันคืออะไรกันแน่?
ขณะที่ศึกษาเรื่องนี้อยู่
ผมก็นึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งเคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้วว่า
"อย่าเอาจิตไปจับ"
มันเป็นคำพูดติดตัวของรุ่นพี่คนนี้ที่สมัยนั้นใครๆ
ก็ตลกเมื่อเขาพูดประโยคนี้
เพราะไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนเขาก็บอกว่า
"อย่าเอาจิตไปจับ"
แต่พอเวลาผ่านมาเกือบสิบปี
ผมถึงได้เข้าใจประโยคนี้
จริงของพี่เขาเลย
อย่าเอาจิตไปจับ
เพราะจับเมื่อไหร่ก็มีตัวตน
มีตัวกูของกูขึ้นมาทันที
ตัวอย่างเช่น
ในชีวิตนี้คุณจะไม่เคยเห็นคนใส่เสื้อสีชมพูมากเท่ากับวันที่คุณใส่เสื้อสีชมพูด้วย
คุณจะไม่เคยเห็นคนท้องมากเท่านี้มาก่อน
เมื่อแฟนคุณตั้งท้อง
และคุณจะไม่เคยทุกข์เท่านี้มาก่อนเลย
จนกระทั่งคุณถูกทำนายว่าคุณดวงตก
ปีที่แล้ว ผมเคยหลุดเข้าไปในแวดวงที่เขากำลังสนทนากันเรื่องมนุษย์ต่างดาวและวันสิ้นโลก
ในบทสนทนานั้นมีอยู่บางประโยคที่พูดถึงเลข
1111
ว่ามันคือสัญญาณเตือนภัยจากมนุษย์ต่างดาวว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงแล้ว
และจะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะได้รับสัญญาณนี้อยู่บ่อยๆ
เรื่อยๆ เขาเหล่านี้จะเห็นเลข
1111
อยู่เป็นประจำ
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ทะเบียนรถ
หรือเบอร์โทรศัพท์
และถ้ายิ่งเห็นบ่อยเท่าไหร่
ก็แปลว่าวาระสุดท้ายของโลกนั้นเดินทางมาแล้ว
ให้เตรียมตัวหนีไปยังที่ที่ปลอดภัย
เชื่อไหมครับว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
จากที่ผมไม่เคยเห็นเลข 1111
มาก่อน
ก็กลับกลายเป็นว่าผมเห็นมันทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์บนป้ายโฆษณาริมทางด่วน
เลขทะเบียนรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าเวลารถติด
นาฬิกาที่อยู่ในรถ
หมายเลขติดต่อหลังบัตรสมาชิกที่เพิ่งไปสมัครมา
ครับ
ผมกลายเป็นบุคคลพิเศษที่ได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวไปเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธเรื่องสัญญาณเตือนภัยจากต่างดาวหรอกนะครับ
(แต่ก็แอบซาดิสต์ว่าถ้าโลกแตกจริงๆ
ก็ดี มนุษย์จะได้สำนึกเสียบ้าง)
แต่ผมก็แค่คิดว่าถ้าอย่างนั้นมันแปลว่าเราสามารถสั่งจิตให้ไปจับกับเรื่องอะไรก็ได้อย่างนั้นน่ะสิ?
จริงอยู่ว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งจะเขียนสนับสนุนแนวความคิดที่ว่าอย่าเอาจิตไปจับ
แต่ผมอยากจะปรับมันใหม่นิดนึงว่า
"แล้วถ้าเราเอาจิตไปจับแต่เรื่องดีๆ
ล่ะ ชีวิตมันจะสุดยอดแค่ไหน?"
ผมมีคนที่รู้จักมากมายที่เป็นมนุษย์คิดลบ
เขาพร้อมจะหาเรื่องแย่ๆ
ได้จากทุกเรื่อง
เขาเชื่อว่ามันต้องมีสักเรื่องที่ไม่ดีสิน่า
ไม่มีอะไรที่จะดีไปหมดหรอก
ประมาณว่าพระพุทธรูปงดงามหมดจด
ยังหาข้อติว่าได้ว่าเสียอย่างเดียวที่พระพุทธรูปพูดไม่ได้
ผมเห็นด้วยกับเขาเหล่านี้นะครับว่าไม่มีอะไรที่จะดีไปหมดหรอก
แต่คำถามก็คือ
ประโยชน์ของการตั้งแง่หาแต่เรื่องไม่ดีของทุกสิ่งนั้นมันคืออะไร? นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ
เมื่อมนุษย์คิดลบคิดแบบนั้น
เขาก็เหมือนแม่เหล็กที่พร้อมจะดูดทุกเรื่องราวเลวร้ายเข้ามาหาเขา
หมาเพลีย เมียป่วย ลูกสาวคนสวยไม่สบาย
ต่างๆ นานา มากันเต็มไปหมด
ทำไมล่ะครับ
ทำไมไม่นับเรื่องดีๆ
แล้วให้ใจเราอยู่กับมันตรงนั้น
มันอาจเป็นเรื่องเล็กๆ
ที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญ
แต่จริงๆ มันสำคัญมาก อากาศดีๆ
ตอนเช้า อาหารมื้อแรกของวัน
เพลงที่เปิดฟังในรถ
เรื่องไร้สาระที่พูดคุยแล้วหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน
เสียงปลายสายจากคนที่เรารัก
ไอติมยามบ่าย พระอาทิตย์ตกตอนเย็น
กล่อมลูกเข้านอน
หรือหนังสือสักเล่มก่อนหลับตา
ชีวิตนั้นเป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องดูกันนานๆ
ดูกันยาวๆ
ไม่ใช่ว่าวันนี้ทุกข์แล้วก็มานั่งพร่ำบ่นว่าชีวิตฉันช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน
ใครจะโชคร้ายเหมือนฉันคงไม่มี
ลองถอยออกมามองไกลๆ
อย่างผู้กำกับที่กำลังตัดต่อหนัง มองหนังเรื่องนี้อีกทีอย่างเป็นกลาง
ไม่ใช่นักแสดง แต่เป็นผู้กำกับ
แล้วคุณจะพบว่าหนังเรื่องนี้มันก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนี่นา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น