วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จับจิต จิตจับ


        ถ้าบังเอิญคุณได้ไปดูดวงกับหมอดูรายหนึ่ง แล้วเขาทำนายว่าปีนี้คุณจะดวงไม่ดี จะมีแต่เรื่องแย่ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อหมอดูก็ตาม แต่เชื่อผมเถอะครับว่ามันจะเป็นตามคำทำนายจริงๆ

        ไม่ใช่ว่าหมอดูรายนั้นแม่นอย่างกับจับวางหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะ "จิต" ของคุณถูกคำสั่งว่า "ปีนี้คุณจะดวงไม่ดี" จับเข้าให้แล้ว ทีนี้พอเกิดเรื่องอะไรไม่ดีเข้านิดหน่อย คุณก็จะรีบบอกกับตัวเองเลยว่า "เห็นไหม จริงด้วย เหมือนที่หมอดูบอกไว้เลย" โดยคุณลืมไปเลยว่าที่จริงมันก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคุณเหมือนกัน

        ผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผมกำลังสนใจเรื่องของ "จิต" เร่ืองของ "สภาวะจิต" อยู่ ทั้งอ่านหนังสือ ทั้งไปเข้าคอร์สอบรมด้วยอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่อยู่ในตัวเรา สิ่งที่เราคุยกับมันด้วยทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกเวลา สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีตัวตนจริงๆ มันคืออะไรกันแน่?

       ขณะที่ศึกษาเรื่องนี้อยู่ ผมก็นึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งเคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้วว่า "อย่าเอาจิตไปจับ" มันเป็นคำพูดติดตัวของรุ่นพี่คนนี้ที่สมัยนั้นใครๆ ก็ตลกเมื่อเขาพูดประโยคนี้ เพราะไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนเขาก็บอกว่า "อย่าเอาจิตไปจับ
       แต่พอเวลาผ่านมาเกือบสิบปี ผมถึงได้เข้าใจประโยคนี้

        จริงของพี่เขาเลย อย่าเอาจิตไปจับ เพราะจับเมื่อไหร่ก็มีตัวตน มีตัวกูของกูขึ้นมาทันที ตัวอย่างเช่น ในชีวิตนี้คุณจะไม่เคยเห็นคนใส่เสื้อสีชมพูมากเท่ากับวันที่คุณใส่เสื้อสีชมพูด้วย คุณจะไม่เคยเห็นคนท้องมากเท่านี้มาก่อน เมื่อแฟนคุณตั้งท้อง และคุณจะไม่เคยทุกข์เท่านี้มาก่อนเลย จนกระทั่งคุณถูกทำนายว่าคุณดวงตก

        ปีที่แล้ว ผมเคยหลุดเข้าไปในแวดวงที่เขากำลังสนทนากันเรื่องมนุษย์ต่างดาวและวันสิ้นโลก ในบทสนทนานั้นมีอยู่บางประโยคที่พูดถึงเลข 1111 ว่ามันคือสัญญาณเตือนภัยจากมนุษย์ต่างดาวว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงแล้ว และจะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะได้รับสัญญาณนี้อยู่บ่อยๆ เรื่อยๆ เขาเหล่านี้จะเห็นเลข 1111 อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ทะเบียนรถ หรือเบอร์โทรศัพท์ และถ้ายิ่งเห็นบ่อยเท่าไหร่ ก็แปลว่าวาระสุดท้ายของโลกนั้นเดินทางมาแล้ว ให้เตรียมตัวหนีไปยังที่ที่ปลอดภัย

        เชื่อไหมครับว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จากที่ผมไม่เคยเห็นเลข 1111 มาก่อน ก็กลับกลายเป็นว่าผมเห็นมันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์บนป้ายโฆษณาริมทางด่วน เลขทะเบียนรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าเวลารถติด นาฬิกาที่อยู่ในรถ หมายเลขติดต่อหลังบัตรสมาชิกที่เพิ่งไปสมัครมา
ครับ 
        ผมกลายเป็นบุคคลพิเศษที่ได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวไปเรียบร้อยแล้ว

         ผมไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธเรื่องสัญญาณเตือนภัยจากต่างดาวหรอกนะครับ (แต่ก็แอบซาดิสต์ว่าถ้าโลกแตกจริงๆ ก็ดี มนุษย์จะได้สำนึกเสียบ้าง) แต่ผมก็แค่คิดว่าถ้าอย่างนั้นมันแปลว่าเราสามารถสั่งจิตให้ไปจับกับเรื่องอะไรก็ได้อย่างนั้นน่ะสิ?

         จริงอยู่ว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งจะเขียนสนับสนุนแนวความคิดที่ว่าอย่าเอาจิตไปจับ แต่ผมอยากจะปรับมันใหม่นิดนึงว่า 
         "แล้วถ้าเราเอาจิตไปจับแต่เรื่องดีๆ ล่ะ ชีวิตมันจะสุดยอดแค่ไหน?"

        ผมมีคนที่รู้จักมากมายที่เป็นมนุษย์คิดลบ เขาพร้อมจะหาเรื่องแย่ๆ ได้จากทุกเรื่อง เขาเชื่อว่ามันต้องมีสักเรื่องที่ไม่ดีสิน่า ไม่มีอะไรที่จะดีไปหมดหรอก ประมาณว่าพระพุทธรูปงดงามหมดจด ยังหาข้อติว่าได้ว่าเสียอย่างเดียวที่พระพุทธรูปพูดไม่ได้

        ผมเห็นด้วยกับเขาเหล่านี้นะครับว่าไม่มีอะไรที่จะดีไปหมดหรอก แต่คำถามก็คือ ประโยชน์ของการตั้งแง่หาแต่เรื่องไม่ดีของทุกสิ่งนั้นมันคืออะไร? นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ

        เมื่อมนุษย์คิดลบคิดแบบนั้น เขาก็เหมือนแม่เหล็กที่พร้อมจะดูดทุกเรื่องราวเลวร้ายเข้ามาหาเขา หมาเพลีย เมียป่วย ลูกสาวคนสวยไม่สบาย ต่างๆ นานา มากันเต็มไปหมด

        ทำไมล่ะครับ ทำไมไม่นับเรื่องดีๆ แล้วให้ใจเราอยู่กับมันตรงนั้น มันอาจเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่จริงๆ มันสำคัญมาก อากาศดีๆ ตอนเช้า อาหารมื้อแรกของวัน เพลงที่เปิดฟังในรถ เรื่องไร้สาระที่พูดคุยแล้วหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน เสียงปลายสายจากคนที่เรารัก ไอติมยามบ่าย พระอาทิตย์ตกตอนเย็น กล่อมลูกเข้านอน หรือหนังสือสักเล่มก่อนหลับตา

         ชีวิตนั้นเป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องดูกันนานๆ ดูกันยาวๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้ทุกข์แล้วก็มานั่งพร่ำบ่นว่าชีวิตฉันช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน ใครจะโชคร้ายเหมือนฉันคงไม่มี

         ลองถอยออกมามองไกลๆ อย่างผู้กำกับที่กำลังตัดต่อหนัง มองหนังเรื่องนี้อีกทีอย่างเป็นกลาง ไม่ใช่นักแสดง แต่เป็นผู้กำกับ
         แล้วคุณจะพบว่าหนังเรื่องนี้มันก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนี่นา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น