วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความทรงจำที่ไหลย้อนกลับ


ก่อนที่จะมาเป็นบรรณาธิการ MiX ผมเป็นนักแต่งเพลงมาก่อน (จริงๆ แล้วปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่) ชีวิตเกี่ยวข้องกับดนตรีมาตลอด แต่หลังๆ กลายเป็นคนทำหนังสือไปเต็มตัว จนแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรีมาได้อย่างไร 

จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วได้นั่งคุยกับท่านบรรณาธิการบริหารของ MiX คุยไปคุยมาก็ไปสะดุดกับคำถามที่ว่า "อะไรคือสิ่งที่คนอื่นทำแล้วส่งผลกระทบกับเราเมื่อตอนเด็กๆ?" 

ผมนั้นตอบได้ทันทีเลยว่ามันคือเสียงกีตาร์โปร่งที่ครูสอนดนตรีดีดเล่นๆ ตอนพักเที่ยง ตอนนั้นผมอยู่ ม.1 และนั่นคือการได้ยินเสียงกีตาร์แบบตัวจริงเสียงจริงครั้งแรกในชีวิต ประมาณว่า อ๋อ! เสียงกีตาร์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะจังเลย

ครูคงไม่รู้ เสียงนี้นี่เองที่กวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าสู่โลกของดนตรี

เปล่าหรอกครับ มันไม่ได้มีชีวิตร็อคแอนด์โรลเท่ๆ หลังจากนั้น ผมไม่ได้มีกีตาร์คู่ใจในวันรุ่งขึ้น ไม่ได้คว้ากีตาร์ไฟฟ้ามาฝึกโซโล่อย่างคร่ำเคร่งทุกวัน และไม่ได้ขายวิญญาณให้ซาตานที่สี่แยกนั้น 

แต่เพราะหลักสูตรของ ม.1 เขาให้เรียนเป่าขลุ่ย เจ้าแท่งยาวๆ สีขาวๆ มีรูก็เลยกลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกในชีิวิตผม (ช่วงนั้นใครๆ ก็เรียกผมว่าไอ้ขวัญ เพราะเป่าเป็นแต่เพลง ขวัญของเรียม)

อีกนานนับปีที่ผมเฝ้ามองดูชมรมดนตรีของโรงเรียนเขาซ้อมกัน แค่แว่วเสียงกีตาร์ไฟฟ้าสุดร็อคก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง แล้วก็ได้แต่คิดว่าเท่ชะมัด ทำไมเสียงมันดุดันขนาดนั้นหนอ

กว่าจะได้จับกีตาร์จริงๆ ก็อีก 3 ปีให้หลัง เมื่อผมสอบได้ที่หนึ่ง แม่ผมก็ทำตามสัญญาด้วยการซื้อกีตาร์โปร่งให้ในราคาพันกว่าบาท มันเป็นกีตาร์ที่ขายอยู่ในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า จำพวกหม้อหุงข้าว ตู้เย็น ไม่ใช่จะส่งเสริมเรื่องดนตรีอะไรหรอกนะครับ แต่เพราะกลัวผมจะติดเกม ก็เลยเบี่ยงผมมาทางดนตรี

แม่คงไม่คิด กีตาร์ตัวนั้นจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

หลังจากนั้นถ้าจำไม่ผิด ไม่มีวันไหนที่ผมไม่จับกีตาร์ตัวนั้นเลย พอกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องรีบวิ่งมาหามัน ขนาดอ่านหนังสือเรียนไปก็ดีดกีตาร์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ก็ดีดไปด้วย

ครูสอนกีตาร์ผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่ข้างๆ บ้านนั่นเอง ที่คอยตั้งสาย บอกวิธีจับคอร์ด แล้วผมก็เอากลับไปฝึก ถ้าเจอหนังสือเพลงเล่มไหนที่ลงรูปคอร์ดให้ด้วยว่าจับยังไงก็จะดีใจมาก ไอ้ที่แย่ก็คือเวลาเล่นไปนานๆ พอสายเพี้ยนก็ต้องหยุดรอว่าพี่ข้างบ้านจะว่างตั้งสายให้เมื่อไหร่ ถ้าไม่ว่างก็ต้องอดเล่น ทุลักทุเลมาแบบนี้ ไม่เคยเรียนดนตรีที่ไหนกับเขาสักที

แม้กระทั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย สารภาพว่าที่ผมอยากเข้ารั้วอุดมศึกษามากๆ ก็เพราะตั้งใจว่า คราวนี้ล่ะเราจะได้เข้าชมรมดนตรีเสียที ซึ่งในที่สุดก็ได้เข้าจริงๆ ทั้งที่เล่นดนตรีได้ป๊อกแป๊กมาก (ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น

กว่าจะได้กีตาร์ไฟฟ้ามาครอง ผมก็ต้องเก็บหอมรอมริบอยู่นับปี เพราะแม่ที่เป็นสปอนเซอร์หลักเรื่องกีตาร์โปร่งกลับไม่ต่อสัญญา เพราะเห็นแนวโน้มแล้วว่าผมเอาดีทางดนตรีแน่ๆ คณะวิศวะที่อุตส่าห์สอบเข้าได้กลายเป็นวิชารองไปเสียอย่างนั้น จนกลัวผมจะเรียนไม่จบเอา

ผมจำได้ กีตาร์ตัวนั้นผมนั่งรถเมล์ไปซื้อที่พันธ์ทิพย์ ประตูน้ำ มันเป็นกีตาร์สีดำ ยี่ห้อโนเนม ราคาเจ็ดพันบาท แต่เอาเถอะยังไงมันก็เป็นกีตาร์ทรงเฟนเดอร์ สตราโตคาสเตอร์ แค่นี้ก็เท่แล้ว ผมซื้อมันมาพร้อมกับลำโพงถูกๆ อีกตัว พร้อมเอฟเฟ็กต์ก้อนอีกหนึ่งลูก

แล้วทุกๆ คืนต่อจากนั้น เพื่อนๆ ในหอก็จะเห็นภาพชินตาว่าผมนั่งเล่นกีตาร์ ใส่หูฟังทั้งวัน ฉากหลังเป็นกองเทปคาสเส็ตต์สูงท่วมหัวเรียงเต็มข้างฝา 

ผมเล่นกีตาร์ด้วยความคลั่งใคล้แบบไม่รู้จักเบื่อ ตื่นมากับมัน หลับไปกับมัน
ในชมรมดนตรี คิดว่าน่าจะเป็นผมนี่แหละที่เล่นได้ห่วยที่สุด จะไม่ห่วยได้อย่างไร เพราะสมาชิกเกือบทั้งหมดของชมรมมาจากคณะศิลปกรรม เอกดนตรี หรือไม่บางคนก็เล่นดนตรีมานานแล้ว แต่ผมไม่สน จะเล่นซะอย่าง ใครจะทำไม (ฮา

สุดท้าย ผมได้ประสบการณ์ดีๆ จากชมรมดนตรีมากมาย ได้เล่นดนตรีตามงานในมหาวิทยาลัย ได้รับงานจ้างไปเล่นในงานเลี้ยงรุ่นในโรงแรม ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตตามจังหวัดต่างๆ เพื่อหาทุนมาออกค่าย (ผมไม่มีทางลืมนาทีที่เล่นจบ สาวๆ วิ่งไปกรี๊ดมือกีตาร์อีกคน ซึ่งหล่อกว่า กีตาร์แพงกว่า และเขาเล่นโซโล่ ส่วนผมเล่นริทึ่มยืนเจียมตัวอยู่ข้างๆ เวที) ได้ตั้งวงดนตรีประกวด ซึ่งตกรอบทุกครั้ง แต่ก็ผลักดันให้ผมต้องแต่งเพลง เพราะสมาชิกในวงขี้เกียจแต่ง

ในเวลาต่อมา ผมอกหักครั้งสำคัญในชีวิต (อกหักนั้นมีได้หลายครั้ง แต่ครั้งสำคัญนั้นอาจมีได้แค่หนึ่ง) และมันกลายเป็นหัวเชื้ออย่างดีให้ผมมีวัตถุดิบในการแต่งเพลงรัก ผมคว้ากีตาร์โปร่ง (เสียดายไม่ใช่ตัวนั้นที่แม่ซื้อให้ ซึ่งสูญหายตามกาลเวลาไปแล้ว) หยิบซาวดน์เบาท์ เดินเข้าห้องน้ำ แล้วร้องออกมาเป็นเพลง อัดใส่เทป เพื่อส่งไปเสนอตามค่ายเพลง 

แล้วหลังจากนั้นผมก็กลายมาเป็นนักแต่งเพลงจนถึงทุกวันนี้

ที่เล่ามายืดยาวทั้งหมด ไม่ใช่อะไร แต่เพราะวันนั้นท่านบรรณาธิการบริหารพูดทีเล่นทีจริงว่า สงสัยวันหลังต้องสัมภาษณ์ผมลงใน MiX ว่ากลายมาเป็นนักแต่งเพลงได้อย่างไร
ไม่ต้องสัมภาษณ์แล้วครับ ผมสัมภาษณ์ตัวเองเรียบร้อยแล้วครับ ท่าน บก. บห.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น