วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตเกิดขึ้นตอนเรากำลังวุ่น



ไม่รู้นึกอะไร เช้าวันหนึ่งผมหยิบเอาหนังสือการ์ตูนโดราเอมอนของลูกติดมือเข้าไปในห้องน้ำ (ครับ นั่นคือเวลาอ่านหนังสือของผม) นั่งอ่านไปเรื่อยๆ ก็สนุกดีนะครับ ไม่ได้อ่านมานานแล้ว 

โดราเอมอนหรือโดเรมอนยังคงมีมนต์ขลังอยู่ ยิ่งโตก็ยิ่งเห็นมุมมองที่เปลี่ยนไป เข้าทำนอง “หนังสือไม่เปลี่ยน แต่คนอ่านเปลี่ยน”

มีอยู่ตอนหนึ่งผมชอบมากๆ โนบิตะโวยวายตามเคยว่าชีวิตน่าเบื่อ วันนี้ไม่อะไรทำเลย เมื่อไหร่จะถึงตอนเย็น จะได้ถึงเวลาการ์ตูนโปรดสักที 

ตื๊อไปตื๊อมา โดราเอมอนรำคาญก็เลยควักของวิเศษออกมาจากกระเป๋าวิเศษ มันคือ “รอกหมุนเวลา” ที่จะทำให้เวลาวาร์ป (Warp) ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โนบิตะดีใจคว้าเอารอกหมุนเวลามาหมุนๆๆ แล้วก็ถึงเวลาเย็นที่รอคอย

เหมือนเดิมครับ โนบิตะติดใจในของวิเศษก็เลยเอามาใช้จนเกิดเรื่องวุ่น คราวนี้พอไม่ชอบอะไรก็หมุนๆๆ ให้มันผ่านไป เช่นเบื่อตอนนอนกลางคืนก็หมุนๆๆ เดี๋ยวก็เช้า ไม่ชอบตอนแม่ดุ ก็หมุนๆๆ อะไรประมาณนั้น 

แล้วเรื่องก็มาเกิดตอนที่พอโนบิตะแกะกล่องของขวัญคริสต์มาสปีนี้มาดูแล้วพบว่าเป็นสารานุกรมน่าเบื่อ ก็เลยหมุนๆๆ รอกเพื่อข้ามไปปีถัดไป พอพบว่าของขวัญปีหน้าน่าเบื่อ ก็หมุนๆๆ ไปอีกปีถัดไปและถัดไป จนกระทั่งพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว และของขวัญที่ว่าก็กลายเป็นของขวัญของลูก ไม่ใช่ของขวัญของตัวเอง โนบิตะเลยได้แต่นั่งร้องไห้ว่าจะทำอย่างไรกับเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้ว

สำหรับผมแล้ว โดนมากๆ ครับนะครับโดราเอมอนตอนนี้ มันช่างเหมือนกับชีวิตของทุกคนเหลือเกิน ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็ว (โดยเฉพาะในวันที่อายุมากขึ้น เวลาจะผ่านไปเร็วเป็นพิเศษ)

หลายสัปดาห์ก่อน มีเหตุให้ผมจำต้องไปที่ลานเบียร์หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่น่าเชื่อนะครับ ผมพบว่าดนตรีมันดังหนวกหู และคนก็เยอะเกินไปจนไม่น่านั่ง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ผมยังมานั่งที่นี่ทุกๆ ปี

จำได้ว่าสิบกว่าปีแล้ว ผมกับเพื่อนๆ ในก๊วนเคยพูดกันว่า เออ ถ้าเราเรียนจบแยกย้ายกันไปแล้ว อีกสิบปีข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไรหนอ ต่างคนจะต่างทำอะไรกันอยู่ เอาเป็นว่าเราจะกลับมาเจอกันที่นี่ 

วันนั้นเราสัญญากันไว้ว่าอย่างนั้น แล้วเราก็ได้กลับมาเจอกันจริงๆ นะครับ (จริงๆ จะบอกว่ากลับมาก็ไม่ถูกนักหรอกครับ เพราะก็ยังมีการติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ) แล้วเราก็พบว่าต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานต่างๆ กันไป บ้างก็เป็นวิศวกรตามวิชาที่เรียนมา บ้างก็ไปเป็นเอ็นจีโออยู่หน่วยงานเพื่อประชาชน บ้างก็ไปแสวงโชคยังเมืองนอก ส่วนผมเองก็มาแต่งเพลงและทำหนังสือซึ่งต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง

มองย้อนกลับไป ผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกันนะครับที่ชีวิตผมมาไกลขนาดนี้ จากวันที่ได้เห็นครูสอนดนตรีตอน ม.1 เล่นกีตาร์โปร่งโชว์ให้เด็กนักเรียนดู มันจะกลายมาเป็นภาพติดตา เสียงติดหู จนผมกลายเป็นนักแต่งเพลงได้ 

หรือจากการที่ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นตอนเด็กๆ ทีวีก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ดู หนังสือที่บ้าน (ซึ่งเป็นร้านตัดเสื้อ) ก็มีแต่สตรีสารที่เด็กๆ จะอ่านได้ ผมตะลุยอ่านนิทานในนั้นมันทุกเล่ม ทั้งสตรีสาร ขวัญเรือน หญิงไทย ทั้งหมดก็เลยส่งผลให้ผมเป็นคนรักการอ่านหนังสือและได้มาทำงานหนังสือในที่สุด

คิดแล้วนึกถึงประโยคที่ Steve Job ผู้บริหารของ Apple กล่าวไว้ในงานปัจฉิมนิเทศน์เด็กมหาวิทยาลัยในอเมริกาว่า ชีวิตคนเราก็คือการลากเส้นต่อจุด สิ่งที่เราทำที่อาจดูเหมือนว่าไม่รู้ทำไปทำไมในวันนี้ วันข้างหน้ามันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญและกลายเป็นเหตุผลของความเป็นเราทั้งหมด

หรืออย่างชื่อเรื่องที่ผมตั้งไว้ว่า “ชีวิตเกิดขึ้นตอนเรากำลังวุ่น” ซึ่งแปลมาจากเนื้อเพลง Beautiful Boy ของ John Lennon ก็ถือว่าเป็นการอธิบายคำว่าชีวิตได้คมคายมากๆ เพราะอธิบายด้วยการไม่อธิบาย แต่บอกว่าชีวิตคือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตอนที่เรากำลังวุ่นๆ รู้ตัวอีกทีเราผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว

วันนี้ค่อนข้างรำพึงรำพันไปเรื่อยนะครับ ตามประสาปีเก่าเข้าปีใหม่ ก็เลยคิดทบทวนบ้างอะไรบ้าง

อย่างไรก็ตาม เหลืออีกไม่กี่วันก็จะหมดปีแล้ว ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าปีที่แล้วทุกๆ คนก็แล้วกันนะครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น