ภาษาฝรั่งคำหนึ่งที่ผมว่าแปลเป็นภาษาไทยได้ยากและเสี่ยงต่อการเข้าใจความหมายผิดก็คือคำว่า
“Passion”
(แพชชั่น)
แพชชั่นนั้นเป็นคำที่ประหลาด
เพราะมันอาจหมายถึงความหลงใหลปรารถนามักมากในกาม
ความลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น
กิเลสตัณหาบังตา
ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไม่มีอะไรผิดความหมาย
แต่ในอีกมุมหนึ่ง
คนทำงานศิลปะทุกคนจะรู้กันดีว่าคำคำนี้เป็นสิ่งที่
"ต้อง"
มี
หาไม่แล้วคุณก็จะเป็นเพียงคนงานที่ใช้แรงปั้น-ปาด-วาด-แต่ง
เท่านั้น แต่หามีใจรักแบบที่ภาษาปะกิดเรียกว่า
Labour
of Love ไม่
แพชชั่นในมุมนี้น่าจะแปลได้ว่า "ความหลงใหลในงานที่ทำ" เรียกว่าตกหลุมรักงานตรงหน้าเข้าเต็มเปา
หมกมุ่นอยู่กับมันจนลืมวันเวลา
สนุกกับมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ไม่ได้คิดว่าจะได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่กับงานที่ทำอยู่
ว่ากันตามตรง ถ้าจะพูดให้ถูก
เขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตรงหน้าที่ง่วนอยู่มันคืองาน
เพราะคนท่ี่มีแพชชั่นไม่เคยคิดว่าเขาทำงานเลย
ชีวิตของคนปกติทั่วไป
น่าจะมีช่วงเวลาของการทำงานอยู่ที่ประมาณ
40
ปี
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่มีแพชชั่น
นั่นแปลว่าในขณะที่คนอื่นต้องลุกขึ้นมาเกลียดเช้าวันจันทร์เป็นเวลา
40
ปี
แต่กับคนเหล่านี้ไม่เลย
แต่ก่อนผมคิดว่าแพชชั่นน่าจะมีแต่ในวงการศิลปิน
อาจเป็นเพราะผมเองอยู่แต่ในวงการนี้
เห็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ
เขาเขียนโดยไม่ได้คิดว่าจะต้องได้รับการตีพิมพ์
เขาเขียนมันโดยไม่คิดว่าจะมีคนอ่านหรือไม่
เขาก็แค่ "ชอบ"
เขียนเท่านั้น
ฟังแล้วเป็นเหตุผลที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์ในโลกทุนนิยมจริงๆ
แต่พอหูตากว้างไกลขึ้น
ได้รู้จักคนในหลายๆ วงการมากขึ้น
ผมก็พบว่าวงการอื่นเขาก็มีความหลงใหลทำนองนี้ที่เรียกว่าแพชชั่นเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนในวงการหุ้น
ที่หลงใหลการติดตามเศรษฐกิจของโลก
รวมถึงพฤติกรรมของคนในสังคม
เขาศึกษามันไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นหน้าที่การงาน
แต่เขา "ชอบ"
ที่จะศึกษามันจริงๆ
หรือแม้กระทั่งวงการนักขาย
ผมก็เห็นคนที่ชอบขาย
ชอบเข้าหาผู้คนเป็นชีวิตจิตใจ
ชอบเจรจา มีสัมพันธไมตรีกับคนแปลกหน้า
ไม่ใช่ทำเพราะมันเป็นงาน
แต่เขา "ชอบ"
มันจริงๆ
เขามีความสุขและสนุกทุกครั้งที่ออกไปเจอผู้คน
แม้บางทีเขาจะขายของไม่ได้ก็ตาม
ผมคิดว่าถ้าโลกนี้มีแต่ผู้คนที่รักที่ชอบสิ่งที่เขาทำ
โลกคงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ
เราคงไม่มีคนที่ทำงานซังกะตายไปวันๆ
เราคงไม่มีคนประเภทกินวันละสองชาม
(เช้าชาม
เย็นชาม)
เราคงไม่มีคนประเภทศุกร์เมา
เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จันทร์ลา
และเราคงมีผลงานดีๆ
ออกมาประดับโลกมากกว่านี้อีก
มั่นใจได้เลยว่า สตีฟ
จ๊อบส์,
มาร์ค
ซัคเคอร์เบิร์ก และโน้ต อุดม
มีแพชชั่นกับงานของเขาแน่นอน
ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมในผลงานของพวกเขา
น่าแปลกที่ผมพบเจอผู้คนมากมายที่รู้ว่าตัวเอง
"ไม่ชอบ"
อะไร
แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเอง
"ชอบ"
อะไร
ทุกวันนี้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเขาเหล่านั้นถึงไม่มีอะไรสักอย่างที่ชอบแบบจริงๆ
จังๆ มันเหมือนเขาอยู่ๆ
ไปแบบไม่เห็นว่าชีวิตควรจะต้องมีคุณค่าอะไรสักอย่าง
ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป
บางคนมาแปลกกว่านั้น
ผมเคยเจอเพื่อนคนนึงบอกว่า
"อย่าเอาสิ่งที่รักมาทำเป็นงาน
เพราะเราจะเบื่อและไม่รักมันในที่สุด"
ประเด็นนี้ผมว่ามีส่วนถูกอยู่บ้าง
แต่ถ้าเลือกได้
ใครก็น่าจะอยากอยู่กับคนที่ตัวเองรักไม่ใช่หรือ? มันน่าจะอยู่ที่การหาจุดพอดีมากกว่า
ว่าแค่ไหน "มากไป"
แค่ไหน
"น้อยไป"
ผมเคยแนะนำคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรให้ลองนึกว่า
เวลาเดินเข้าห้าง
คุณไปวนเวียนอยู่กับแผนกไหนมากที่สุด
เพราะเดี๋ยวนี้ห้างสรรพสินค้าก็ไม่ต่างอะไรกับโลกจำลองที่มีครบทุกอย่างอยู่ในนั้น
อย่างผมเอง ถ้าคุณจะหาว่าผมอยู่ตรงส่วนไหนของห้าง
เดาไม่ยากเลยครับ ไม่พ้นร้านหนังสือ
(หรือไม่ก็ร้านซีดี
ซึ่งเดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้ว)
เพราะฉะนั้นบางทีคุณอาจจะพบว่าคุณชอบอะไรจากการเดินห้าง
บางคนอาจชอบเดินแผนกเสื้อผ้า
บางคนชอบแผนกเครื่องครัว
บางคนชอบเดินดูของกิน
บางคนชอบนั่งๆ เดินๆ
อยู่หน้าโรงหนัง
ผมหวังว่ามันน่าจะมีสักอย่างที่คุณชอบ
ไม่รู้สิครับ
สำหรับคนที่ไม่เคยมีแพชชั่นจริงๆ
อาจจะนึกไม่ออกว่าการมีเจ้าแพชชั่นนั้นมันเจ๋งขนาดนี้เลยเหรอ
แต่เชื่อผมเถอะว่าโลกนี้จะสนุกมาก
ถ้าคุณมีมัน
คุณสามารถจับผมไปปล่อยไว้ในร้านหนังสือใหญ่ๆ
สักร้าน แล้วผมก็อยู่ในนั้นได้ทั้งวัน
หรือคุณจะให้ผมอยู่ในร้านซีดีก็ได้
ไม่มีปัญหา คุณทิ้งผมไว้ได้เลย
จริงๆ
แล้วทางพุทธศานา
ก็มีพูดประเด็นเรื่องแพชชั่นไว้
เพียงแต่ไม่ได้ใช้คำนี้เท่านั้นเอง
มันอยู่ในหัวข้อ อิทธิบาท
4
อัน
ประกอบด้วย ฉันทะ(ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น)
วิริยะ
(ความพากเพียรในสิ่งนั้น)
จิตตะ
(ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น)
วิมังสา
(ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น)
ซึ่งเป็นธรรมะข้อที่ผมว่ามนุษย์มนาทั่วไปควรนำมาใช้
เพราะมันเอาไปใช้ในการทำงานได้เลย
ถ้าจะเขียนอิทธิบาท
4 เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ
แบบเท่ๆ มันก็น่าเป็นแบบนี้ครับ
4
Steps to Success: Passion+Hard Work+Focus+Evaluation
หน้าหนาวสิ้นปีแบบนี้ ถ้ายังไม่มีคนรัก ลองหางานที่รักก่อนก็ดีนะครับ เพราะทั้งชีวิตมนุษย์เราใช้เวลาในการทำงานไปถึง 116,800 ชั่วโมงแน่ะ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น