วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เราเกิดมาเพื่ออะไร?


        เผลอแป๊บเดียวก็ครบรอบ 1 ปีที่ภรรยาผมเข้ารับการผ่าตัด แต่ผมยังจำได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

        เราไม่ได้เตรียมตัวกันมาก่อนว่าจะต้องนอนโรงพยาบาล เพราะทีแรกดูเหมือนว่าเธอจะแค่ปวดท้องโรคกระเพาะ เพราะคืนก่อนหน้านั้นเราขับรถกลับจากต่างจังหวัด รถติดมาก ทำให้ต้องกินข้าวมื้อค่ำดึกกว่าปรกติ

        แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด เมื่อถึงโรงพยาบาล ภรรยาผมปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนออกมา หนักเข้าก็รู้สึกใจสั่น กระสับกระส่าย บ่นตลอดว่าหายใจไม่ทัน พยาบาลวัดชีพจรดูก็พบว่าหัวใจเต้นถี่ถึง 150 ครั้งต่อนาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่าหัวใจของคนที่เพิ่งออกกำลังกายมาด้วยซ้ำ

        เธอนอนลงไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก แม้แต่จะนั่งก็ยังยาก ผมต้องประคองเธอไว้ขณะยืน เพราะไม่มั่นใจว่าจะเป็นล้มไปเมื่อไหร่ บางประโยคขณะนั้นเธอบอกกับผมว่า...เหมือนจะตาย

        สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากตรวจนู่นนั่นนี่มากมาย ทั้งเอ็กซเรย์ ทั้งให้ยาหลายขนาน ก็พบว่าเธอน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ พอผ่าเสร็จอาการทั้งหมดก็หายไป เรียกว่าเปิดตัวยิ่งใหญ่ แต่จบลงที่ไม่เป็นอะไรมาก เล่นเอาคนที่เป็นห่วงถอนหายใจไปตามๆ กัน

        ผมย้อนนึกถึงประโยคที่เธอพูดว่า...เหมือนจะตาย แล้วก็นึกถึงประโยคของเพลงฮิตเพลงหนึ่งที่ร้องว่า "ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน" แล้วก็คิดไปต่อว่า ถ้าตอนนั้นเธอตายไปจริงๆ ผมจะทำอย่างไร? ผมยังมีความรู้สึกมากมายที่ยังไม่ได้บอกเธอ

        ผมฟุ้งซ่านไปเรื่อยว่าทำไมชีวิตของมนุษย์เรามันช่างเปราะบางเหลือเกิน เห็นๆ กันอยู่เมื่อนาทีที่แล้ว ใครจะรู้ว่าในอีกนาทีถัดไป ก็อาจจะไม่ได้เห็นกันแล้ว เรื่องแบบนี้มีให้เห็นตัวอย่างถมไป

        จำได้เลยว่าวันนั้นผมนึกถึงภาพข่าวการร่ำไห้ของแม่ทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกลอยเข้ามาในความคิดผม แม่ผู้สูงอายุบอกกับนักข่าวว่า ไม่คิดว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พบพูดคุยกับลูกชาย

        "การพลัดพรากจากสิ่งที่รักมักเป็นทุกข์" คำสอนของศาสนาท่านว่าไว้อย่างนั้นมานับพันปีแล้ว แต่ก็ดูเหมือนมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความจริงข้อนี้ไปได้เสียที หนำซ้ำยังหาสิ่งที่รักมายึดมั่นถือมั่นกันให้พะรุงพะรังอีก

        คำถามที่ว่า "เราเกิดมาเพื่ออะไร?" เป็นคำถามที่น่าสนใจมากๆ สำหรับผม สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงวัยกำลังค้นหาตัวเอง ผมเจอหนึ่งคำตอบของคำถามนี้ นับว่าน่าสนใจมาก เป็นคำตอบของไอน์สไตน์ เขาตอบว่า "เราเกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น เกิดมาเพื่อเป็นที่รักของผู้อื่น" คำตอบนี้ดูเป็นอะไรที่เพื่อมวลชนและเป็นคนดีมาก แต่ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยในวันนี้ ผิดกับในวันนั้นที่รู้สึกค้านในใจว่าทำไมต้องเกิดมาเพื่อคนอื่นด้วย

        ไม่นานมานี้ผมไปเจออีกหนึ่งคำตอบที่น่าสนใจ เขาตอบว่า "เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก" คำตอบนี้ดูเข้าใจง่าย เข้าถึงง่ายกว่าคำตอบที่แล้ว และดูเป็นปัจเจก ไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่าคำตอบของไอน์สไตน์ แต่ก็โดนใจผมไม่น้อย

        เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก (และรักเรา) สำหรับผมคำนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะยิ่งยืนยันความคิดของผมที่ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานหนักแล้วก็ตายจากไป เพราะที่สุดแล้วเราก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัว ดูแลพ่อแม่ เล่นกับลูก พูดคุยกับคนรัก

        เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ และในทางกลับกันเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ไปได้นานแค่ไหน ในเมื่อชีวิตมันเปราะบางเช่นนี้

        เหมือนที่ใครบางคนเคยพูดให้ผมได้ยินว่า เขาไม่มีวันจะออกจากบ้าน ถ้ายังทะเลาะกับคนที่บ้านค้างอยู่ เพราะเขาไม่อาจรู้ว่าเมื่อออกไปแล้ว จะได้กลับมาปรับความเข้าใจกันอีกหรือเปล่า

        มีเรื่องขำขื่นเรื่องหนึ่งเล่าว่า แม่ผู้แก่เฒ่าท่านหนึ่งโทรหาลูกสาวว่า "หนูไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งนาน ไม่กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้างเลยเหรอ" ลูกสาวตอบว่า "โอ๊ย ไม่มีเวลาหรอกแม่ งานยุ่งจะตาย" แม่ก็เลยบอกว่า "จ้ะ ไม่เป็นไรลูก งั้นส่งเงินมาที่บ้านบ้างนะลูก แม่จะเอาไปซื้อหยูกยา ปวดเข่าเหลือเกิน" แต่ลูกสาวกลับตอบมาว่า "โอ๊ย แม่ เงินอะไรล่ะ ใช้เองตัวคนเดียว เดือนชนเดือนยังจะไม่รอดอยู่แล้ว
        เรื่องนี้ก็เลยสรุปว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีทั้งเงินและไม่มีทั้งเวลา ฟังดูเหลือเชื่อ จะบ้าเหรอ เป็นไปได้ไง แต่คนส่วนใหญ่ของสังคมทุกวันนี้ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีเวลาให้คนที่เรารัก...และก็ไม่มีเงิน

        ผมนึกถึงภาพโฆษณาประกันชีวิตเจ้านึงที่เป็นเรื่องราวของพ่อใบ้กับลูกสาวที่เกลียดพ่อ ผมร้องไห้ทุกครั้งที่ดูโฆษณาตัวนี้ เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นใบ้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้มันแสดงให้เห็นว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักจริงๆ 
        ผิดแต่ว่ากว่าลูกจะรู้ว่าพ่อรักลูกขนาดไหนก็ต้องผ่านพ้นวิกฤตมาก่อน

        สุภาษิตจีนที่ว่า "เนื้อมังกรหน้าหลุมศพพ่อแม่ มีค่าน้อยกว่าข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วยตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บอกเล่าสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
        ลองถามตัวเองดูนะครับว่าวันนี้เราได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักหรือยัง 
        ถ้ายังก็ด่วนเลยครับ
        ใครจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของวันที่เหลืออยู่ของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น