สองสามปีที่แล้ว ผมกับครอบครัวตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ
เป็นว่าเล่น ด้วยเหตุที่ว่าจู่ๆ
ก็คิดจะสร้างหนี้เพิ่มด้วยการไปซื้อบ้านหลังใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม
เพื่อต้อนรับการมาถึงของเจ้าตัวน้อย-ซัมเมอร์-ลูกสาวคนที่สองของผม
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการออกทัวร์ตามโครงการหมู่บ้านจัดสรรนั้นเยอะทีเดียวครับ
เริ่มตั้งแต่ได้ขับไปเส้นทางใหม่ๆ
ที่ไม่เคยไป
ผมพบว่าเวลาเราขับรถไปในที่ที่ไม่คุ้น
ประสาทต่างๆ ของเราจะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่
สมองต้องทำงานหนักกว่าเดิม ไหนตายังจะต้องสอดส่ายดูป้ายโครงการนับสิบๆ (ซึ่งผมเชื่อว่าบ้านเราน่าจะติดอันดับประเทศที่มีจำนวนป้ายโฆษณาริมทางเยอะที่สุดในโลก)
เพราะแต่ละป้ายนั้นต่างก็ช่วงชิงความโดดเด่นกันแบบสุดๆ
ถ้าคลาดสายตาก็อาจขับเลย
และไม่มีโอกาสได้วนกลับมาอีกง่ายๆ
สารภาพนะครับว่าผมเพิ่งรู้ว่าถนนสุขาภิบาล
5
มันอยู่ตรงไหน แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าบางใหญ่ซิตี้มันใหญ่จริงๆ
ขนาดว่าเป็นเมืองย่อมๆ
ได้เลย ไหนยังจะเส้นทางแถวบ้านเก่าผมอย่าง
ซอยท่าอิฐ ไทรม้า บางบัวทอง
ที่ผมอยู่มาตั้งหลายปี
แต่ก็ยังไม่เคยขับเข้าไป
หรือที่อเมซิ่งสุดๆ
ก็คือโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า
ตรงถนนนครอินทร์ พระราม 5
ที่ว่าอเมซิ่งก็เพราะโรงเรียนนี้ใหญ่มากๆ
มากถึงมากที่สุด
ขนาดน้องๆ โรงเรียนฮอกวอตส์เลยล่ะครับ
ใบที่
รปภ.
กำชับว่าอย่าลืมเอาให้ฝ่ายขายเซ็น
น้ำขวดเล็ก รถกอล์ฟ
แบบฟอร์มกรอกข้อมูล
สอบถามค่าส่วนกลาง คืออีกหลายๆ
ไฟต์บังคับที่เราจะต้องเจอเวลาเข้าไปดูบ้านตามโครงการ
เรียกว่าพอผมไปดูสัก 3-4
ที่ก็เริ่มจะเป็นนักดูบ้านมืออาชีพขึ้นมาทันที
รู้ขั้นตอนไปซะทุกอย่าง
แต่สิ่งที่หนึ่งที่กระทบใจผมมากที่สุด
โดยเฉพาะหมู่บ้านแรกๆ ที่ไปดู
(เพราะหลังๆ
เริ่มชิน)
นั่นก็คือ
“บ้านตัวอย่าง” ครับ
ผมชื่นชมคนที่ออกแบบแต่งบ้านตัวอย่างให้ลูกค้ามาชมนะครับ
เพราะเขาเก่งมากๆ ที่สามารถเนรมิตบ้านให้ออกมาสวยงามราวกับเราหลุดเข้าไปในแคตตาล็อกหรือแมกกาซีนบ้านสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นผนังติดวอลล์เปเปอร์
พรมขนสัตว์ที่พื้น
เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัยที่จัดโทนสีมาอย่างดี
ห้องนอนที่ออกแบบมาให้เป็นทั้งห้องนอนใหญ่ของคุณพ่อคุณแม่
ห้องลูกชาย ห้องลูกสาว
สวนหน้าบ้าน ห้องรับแขกที่มีโฮมเธียเตอร์สุดล้ำ
แอร์เย็นฉ่ำ ห้องครัวฝรั่งแบบบิลท์อิน
ทั้งหมดที่ว่ามาล้วนแล้วแต่ทำให้จินตนาการของเราบรรเจิด
คิดฝันไปไกลว่าถ้าได้ครอบครองบ้านของที่นี่ คงจะทำให้ชีวิตสุขสันต์
แต่เปล่าเลยครับ
ฝันทั้งหมดจะสลายไปเมื่อเราไปดูบ้านของจริงที่มีแต่บ้านโล่งๆ
ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีวอลล์เปเปอร์
ห้องครัวก็โล่งๆ
ห้องนอนก็คือห้องสี่เหลี่ยมโล้นๆ
สวนหน้าบ้านก็มีแค่หญ้า
ถ้าอยากได้แบบบ้านตัวอย่างก็คงต้องเสียเงินตกแต่งอีกหลายแสน
และเอาเข้าจริงแล้ว
เวลาเราเข้าไปอยู่จริงๆ
บ้านมันก็คงไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอก ราวตากผ้า
กองของเล่นลูก เอกสารกองพะเนิน
มันจะไปสวยอย่างแบบบ้านตัวอย่างได้อย่างไร
แต่ผมว่านี่แหละครับ
มันต้องสวยบ้างไม่สวยบ้าง
ถึงจะเป็นบ้านที่มีชีวิตชีวา
ทั้งหมดที่เล่ามา
มันทำให้ผมนึกไปถึงคำถามที่น้องในออฟฟิศคนหนึ่งถามผมขึ้นมา
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นผมและครอบครัวได้สัมภาษณ์และถ่ายรูปลงในนิตยสารครอบครัวเล่มหนึ่ง
รูปที่ลงในนิตยสารนั้นดูแล้วเป็นครอบครัวที่มีความสุขมาก
น้องมันก็เลยถามผมขึ้นมาว่า
แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างในภาพหรือเปล่า
ผมก็ตอบไปว่า แหม มันก็มีสุข
เศร้า เหงาและรัก สลับกันไป
จะให้ยิ้มกันตลอดก็ท่าจะบ้าแล้ว
โธ่
คนนะครับ ไม่ใช่บ้านตัวอย่าง จะได้สวยงามทุกโมงยาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น