วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คบกับหนังสือ



        หนึ่งในประโยคสุดคมที่ผมเคยได้ยินมาก็คือ “ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับหนังสือที่เราอ่านและเพื่อนที่เราคบ” จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ฟังนั้น ผมอึ้ง ทึ่ง
(แต่ไม่เสียว) ว่าใครหนอช่างคิด เพราะมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง

ขอพูดถึงเรื่องเพื่อนที่เราคบก่อนนะครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพื่อน (ซึ่งอาจรวมไปถึงแฟน) มีอิทธิพลกับเราแน่นอน เพราะเราใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับเพื่อน ถ้าเป็นวัยเรียน นั่นก็คือเพื่อนร่วมชั้น ถ้าเป็นคนทำงาน นั่นก็คือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเรียนหรือเพื่อนร่วมงาน เราใช้เวลาของชีวิตไปกับเขาเหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันแน่ๆ ยังไม่นับหลังเลิกเรียนหรือหลังเลิกงาน 

เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนๆ ที่เราคบเป็นประเภทคุยเรื่องละครหลังข่าวเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เราก็จะเป็นคนที่ต้องดูละครหลังข่าวไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง หรือในทางกลับกัน ถ้าคบเพื่อนประเภทหลังเลิกงานก็ยังขยันไม่หยุด ไปขายเสื้อผ้า กระเป๋า คอนแท็คเลนส์ เชื่อได้ว่าสักพัก เราก็ต้องหาอะไรมาขายแบบเพื่อนชัวร์ๆ

หรืออย่างเรื่องหนังสือ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมอยากคุยมากกว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น ผมเป็นหนี้บุญคุณหนังสือแบบใช้หนี้กันอย่างไรก็คงไม่หมด จนอดคิดไม่ได้ว่าหนังสือน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างสรรค์มา

หนังสือเล่มแรกๆ ที่ผมคิดว่ามีอิทธิพลกับผมนั้นก็คือ หนังสือแบบเรียนมานะมานี เพราะมันทำให้ผมรักการอ่านหนังสือขึ้นมาแบบที่พ่อแม่ไม่ต้องมาปลูกฝัง ผมอ่านมันจบตั้งแต่วันแรกที่ได้หนังสือมา (ซึ่งยังไม่เปิดเทอมด้วยซ้ำ)

จากนั้นความรักหนังสือก็เกิดขึ้นในตัวผมทีละเล็กทีละน้อยแบบไม่รู้ตัว เพราะความที่ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันละแวกบ้าน ส่วนน้องก็เป็นผู้หญิง หนังสือจึงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมมีอยู่ ผมเริ่มลุกลามไปอ่านนิทานเด็กในสตรีสาร ขวัญเรือน หญิงไทย เพราะบ้านผมเป็นร้านตัดเสื้อและแม่ก็รับหนังสือแนวนี้ประจำ

การ์ตูนกลายเป็นหนังสือเล่มต่อๆ มาที่ผมถึงขั้นหมกมุ่น ผมเป็นสมาชิกหมายเลข 2 ของร้านเช่าการ์ตูนแถวบ้าน ผมเช่ามาอ่านวันละไม่ต่ำกว่าสิบเล่ม หลายครั้งต้องเหน็บไว้ในกางเกงแล้วเอาเสื้อปิดไว้ เพราะกลัวแม่จะดุที่เช่ามามากเกิน โดเรม่อน ซึบาสะ คอบร้า ดราก้อนบอล ซิตี้ฮันเตอร์ สองสิงห์เจ้าสำอางค์ วีรบุรุษลหุโทษ โรงเรียนลูกผู้ชาย เซนต์เซย่า ทัช และอีกมากมายคือเพื่อนในวันนั้นของผม

ผมมาเลิกอ่านการ์ตูนก็เมื่อในวันที่โดนประกาศิตจากแม่ว่าห้ามอ่านการ์ตูน เพราะแม้แต่ในวันที่พรุ่งนี้จะสอบอยู่แล้ว ผมก็ยังเช่าการ์ตูนมาอ่าน จนแม่ต้องเรียกเจ้าของร้านมาชี้ตัวว่าอย่าให้เด็กคนนี้เช่าการ์ตูนอีกต่อไป 

แล้วแม่ก็เอาดนตรีเข้ามาดึงความสนใจผมออกจากหนังสือการ์ตูน แม่คงไม่รู้หรอกว่าวันนั้นแม่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล เพราะผมกลายมาเป็นนักแต่งเพลงในเวลาต่อมา ก่อนที่จะมาจับงานหนังสืออย่างในทุกวันนี้

กว่าจะได้มาอ่านหนังสือจริงๆ จังๆ อีกทีก็ตอนเรียนใกล้จะจบมหาวิทยาลัย เพราะตอนนั้นดนตรีเอาเวลาของผมไปหมด ช่วงนั้นผมบ้าวรรณกรรมอย่างหนัก กวีซีไรต์ผมอ่านหมด เพื่อชีวิตหนักๆ ก็อ่าน นิคม รายวา, จิตร ภูมิศักดิ์, ’รงค์ วงสวรรค์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี และอีกมากมายคือชื่อที่ผมแอบเป็นลูกศิษย์ทางความคิด 

แต่เล่มที่มีอิทธิพลกับผมมากๆ ก็คือ "พันธุ์หมาบ้า" ของชาติ กอบจิตติ และ "เจ้าชายน้อย" ของ อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี พันธุ์หมาบ้าทำให้ดีเอ็นเอวัยรุ่นของผมเดือดพล่าน อยากใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง ส่วนเจ้าชายน้อยก็ทำให้ผมละเมียดละไม มองด้วยใจ ไม่ใช่มองด้วยตา

อีกเล่มที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดนั่นก็คือ "โลกของโซฟี" ของ โยสไตน์ กอร์เดอร์ ที่เอาปรัชญาหนักๆ เข้าใจยากๆ ของโลกนี้มาเล่าผ่านนิยายที่เดินเรื่องโดยเด็กสาวนามว่าโซฟี เล่มนี้ทำเอาผมถึงกับเตลิดทางความคิดไปจนแทบจะไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือหนาขนาดห้าร้อยหน้าจะอ่านสนุกและได้สาระถึงเพียงนั้น

มาพักหลังๆ ด้วยเวลา ด้วยสิ่งล่อใจต่างๆ ทีวีสารพัดช่อง อินเตอร์เน็ต ดีวีดีหนังมากมาย ครอบครัวและงานที่ทำ น่าแปลกที่ผมทำงานหนังสือ แต่กลับมีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง ซึ่งนั่นถือเป็นหายนะของคนทำหนังสือแท้ๆ 

เล่มสุดท้ายที่ประทับอยู่ในใจผมไม่รู้ลืมจนถึงขั้นเปลี่ยนชีวิต เกิดขึ้นเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เมื่อผมเข้าไปเดินแก้เซ็งใน 7-11 ตอนตีหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นชื่อ "ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" เล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่าคนรวยกับคนจนไม่ใช่แตกต่างกันที่ความสามารถ แต่แตกต่างกันที่ความคิด มันเป็นหนังสือแนวที่ในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดจะอ่านมาก่อนเลย

ตอนผมย้ายบ้านเมื่อ 2 ปีก่อน มีโอกาสได้จัดหนังสือเล่มเก่าๆ อีกครั้ง มันเหมือนพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน ผมใช้เวลาจัดอยู่นานนับชั่วโมง เจอเล่มนี้ก็หยุดอ่าน เจอเล่มนั้นก็หยุดพลิกดู ความทรงจำไหลทะลักออกมาอย่างกับเขื่อนแตก ราวกับผมกำลังอ่านชีวิตผมอยู่ ทุกเล่มประกอบกันขึ้นมาเป็นผมในวันนี้

แล้วคุณล่ะครับ มีหนังสือในความทรงจำเล่มไหนบ้าง? เขียนเล่าให้ฟังกันบ้างสิครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. หนังสือบ่งบอกบุคคลิกภาพและวิธีคิดของผู้อ่าน ชอบอ่านหนังสือแนวไหนแสดงว่าตอนนั้นสนใจหรือมีแนวคิดไปในทิศทางนั้น ดูจากหนังสือที่เพื่อนได้อ่านแล้ว แสดงว่า "เพื่อนได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วละ"

    ตอบลบ